งานระบบเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ต
Networking Systems and Internet Services
ยอดจอง "iPhone 4S" ทะลุล้านใน 24 ชั่วโมง
แอปเปิล (Apple) ประกาศยอดสั่งจองสมาร์ทโฟนใหม่ล่าสุด iPhone 4S ทะลุหลัก 1 ล้านเครื่องในเวลา 24 ชั่วโมงแรกหลังการเปิดจองใน 7 ประเทศเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ลบสถิติทุกสินค้าใหม่ที่แอปเปิลเคยเปิดตัว รวมถึง iPhone 4 ที่เคยทำไว้ในปีที่แล้ว        7 ประเทศที่แอปเปิลเปิดให้สั่งจองไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้แก่ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี ญี่ปุ่น และอังกฤษ โดยฟิลิป สคิลเลอร์ (Philip Schiller) รองประธานอาวุโสแอปเปิลแถลงการณ์ว่า iPhone 4S สามารถสร้างสถิติยอดจองมากที่สุดในวันแรกเหนือกว่าผลิตภัณฑ์ใดที่บริษัทเคยเปิดตัวมา โดยโอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือทั่วโลกซึ่งเป็นพันธมิตรในการจำหน่ายไอโฟน ยืนยันตรงกันว่าผู้บริโภคหลายหมื่นคนลงทะเบียนเพื่อจองไอโฟนรุ่นล่าสุดมากกว่าไอโฟนทุกรุ่นที่แอปเปิลเคยเปิดตัว        iPhone 4 ที่แอปเปิลเปิดตัวไปในปีที่แล้ว มีสถิติการสั่งจองวันแรกที่ 600,000 เครื่อง ครั้งนั้นประเทศอย่างออสเตรเลียและแคนาดาไม่ได้ถูกบรรจุให้เป็นประเทศกลุ่มแรกของโลกที่มีการวางจำหน่ายไอโฟน จุดนี้คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ iPhone 4S ทำสถิติยอดสั่งจองที่สูงกว่า ทั้งที่มีเสียงวิจารณ์ว่าไอโฟนรุ่นใหม่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่หลายคนคาดหวัง        iPhone 4S นั้นได้รับการการันตีว่ามีความเร็วหน่วยประมวลผลและมีประสิทธิภาพด้านการถ่ายภาพทั้งวิดีโอและภาพนิ่งที่สูงกว่า iPhone 4 ผลจากคุณสมบัติใหม่อย่างชิป A5 ดูอัลคอร์ซึ่งแอปเปิลนำมาติดใน iPad แล้วแต่พัฒนาให้มีความสามารถในการประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม จนทำให้ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดสามารถสนทนาต่อเนื่อง 8 ชั่วโมงได้บนระบบ 3G ขณะเดียวกันก็สามารถดาวน์โหลดข้อมูลความเร็วสูง 14.4 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนเทคโนโลยี "4G" หลายรุ่นในตลาดขณะนี้ สำหรับประเทศไทย iPhone 4S มีกำหนดเริ่มจำหน่ายเป็นกลุ่มที่ 3 คาดว่าจะเป็นช่วงปลายปีนี้        ปัจจุบัน ไอโฟนคือสมาร์ทโฟนที่สามารถจำหน่ายได้มากที่สุดอันดับ 1 ของโลก โดยไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา ไอโฟนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้อีก 9.1% ในขณะที่โนเกียแชมป์เก่าสูญเสียตลาดไปมากกว่า 30% โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย IHS iSuppli พบว่าส่วนแบ่งตลาดไอโฟนโลกในขณะนี้คือ 18.4% รองลงมาคือซัมซุง 17.8% และอันดับที่ 3 คือโนเกีย เบื้องต้น แอปเปิลเปิดเผยว่าการจัดงานไว้อาลัยสตีฟ จ็อปส์ ผู้ก่อตั้งแอปเปิลที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา จะมีขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000129315
10 ธันวาคม 2554     |      6518
ความสำคัญของรหัสผ่าน กับการถูกแฮกฯทวิตของนายก
เชื่อว่าหลายคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าประเด็นข่าวที่บรรดาสื่อไทยต่างพากันจับตามองนั่นคือ ประเด็นที่บัญชีผู้ใช้ทวิตเตอร์ของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกมือดีสวมรอยเข้าใช้ชื่อบัญชีดังกล่าว แล้วทำการโพสต์ข้อความในเชิงโจมตีทั้งตัวนายกฯ พรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ยังมีความท้าทายส่งผ่านไปยังตัวนายกฯ เองด้วยว่าเพียงแค่บัญชีส่วนตัวทวิตเตอร์ยังรักษาไม่ได้ แล้วจะปกป้องประเทศอย่างไร        อย่างที่ทราบกัน ขณะนี้ได้มีการแถลงข่าวจากรัฐมนตรีกระทรวง ICT อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ว่าในบัญชีทวิตเตอร์ของนายกฯ นอกจากตัวนายกเอง ยังมีทีมงานอีก 1 คนที่รู้รหัสผ่านการเข้าใช้งาน ซึ่งล่าสุดรมว. ICT ได้เปิดเผยว่ามีการติดต่อไปยังทีมงานทวิตเตอร์เพื่อขอข้อมูล Log Files ดังกล่าวเพื่อตามล่าหามือดีที่ทำการแฮกครั้งนี้        สิ่งที่เห็นได้ชัดๆ จากการที่บัญชีผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของผู้นำประเทศถูกโจรกรรมในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าประเด็นการให้ความสำคัญของพาสเวิร์ดยังถูกมองข้าม ไม่ให้ความสำคัญมากนัก        การตั้งพาสเวิร์ดที่คนส่วนใหญ่นิยมตั้งกัน มักจะเป็นตัวเลขง่ายๆ ซ้ำๆ กัน หรือใช้อักษรภาษาอังกฤษที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นชื่อสัตว์เลี้ยง วันเดือนปีเกิด เป็นต้น รวมไปถึงการใช้งานพาสเวิร์ดที่เป็นรูปแบบของคำศัพท์ธรรมดาที่มีอยู่ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ **ทำไมถึงไม่ควรตั้งรหัสผ่านที่มีในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ?        นั่นเป็นเพราะว่ากระบวนการในแคร็กรหัสผ่าน สามารถทำได้โดยง่ายถ้าหากเป้าหมายใช้รหัสผ่านที่เป็นภาษาอังกฤษ การแคร็กพาสเวิร์ดดังกล่าว เพียงแค่ใช้วิธีกระบวนการ Brute Force หรือ Dictionary Attack ก็ดึงรหัสผ่านนั้นๆ ได้แล้ว โดยใช้เวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว ถ้าเป็นแบบนี้เราควรจะตั้งรหัสผ่านอย่างไรถึงจะแข็งแกร่งและคาดเดาได้ยาก หลักการในการตั้งรหัสผ่านที่ดี คือควรมีสัญลักษณ์หรืออักขระพิเศษลงไปในรหัสผ่าน และเพื่อให้รหัสผ่านมีความแข็งแกร่งมากขึ้นคือ ควรมีการผสมกันของอักขระตัวพิมพ์ใหญ่ปะปนกับไปพยัญชนะตัวพิมพ์เล็กในภาษาอังกฤษ หรืออาจจะแทรกภาษาไทยเข้าไปในรหัสผ่านเพื่อเพิ่มความยากในการคาดเดา        เหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้คุณตั้งรหัสผ่านที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่หากด้วยความที่คุณยังเป็นมนุษย์ ความผิดพลาดย่อมมีวันเกิดขึ้น อันดับแรกการคือการล็อกอินรหัสผ่านค้างไว้ในมือถือหรือเบราวเซอร์ ทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อีเมล ถ้าเกิดมีคนที่จะต้องการกลั่นแกล้งคุณ เพียงแค่เข้าไปเปิดเครื่องของคุณ เขาก็สามารถทำอะไรกับบัญชีผู้ใช้ต่างๆ ของคุณได้เลยทันที โดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว คำแนะนำถ้าหากคุณใช้งานเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรืออีเมลเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะล็อกเอาต์เครื่อง อย่างน้อยๆ เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีใครแอบอ้างเอาบัญชีคุณไปใช้งานลับหลัง สำหรับเครื่องประจำสำนักงาน สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ต้องพึงระวังคือ ไม่ควรที่จะแปะรหัสผ่านของเราที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจดโน้ตเอาไว้ที่บนโต๊ะ อย่าลืมว่ารหัสผ่านเป็นสิ่งที่เราต้องจำให้ได้ และไม่ควรที่จะบอกให้ใครรู้ ให้นึกเสียว่ารหัสผ่านการเข้าใช้งานด้านต่างๆ ของเราบนเว็บไซต์นั้นก็มีความสำคัญใกล้เคียงกับรหัสผ่าน ATM ที่เราควรจะให้ความสำคัญเท่าๆ กัน        นอกจากนี้โดยทั่วไปการเข้าใช้งานเว็บเบราวเซอร์ เมื่อมีการเข้าใช้งานเว็บไซต์ที่มีการกรอกชื่อบัญชีและรหัสผ่าน จะมีหน้าต่างขึ้นมาถามเราว่า ต้องการที่จะให้จดจำรหัสผ่านนี้หรือไม่ สำหรับคำแนะนำในเรื่องนี้ เห็นควรว่าจะต้องปฎิเสธไม่ให้มีการจดจำรหัสผ่าน อย่าลืมว่าถ้าหากเราให้มีการจดจำรหัสผ่าน แล้วผู้ใช้งานอย่างเราๆ เกิดลืมที่จะล็อกเอาต์ออก ผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะมีใครเข้ามาใช้งานเครื่องต่อจากเราหรือไม่        ประเด็นนี้ต้องฝากถึงไปยังกลุ่มคนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะตามอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ ที่มีโอกาสสุ่มเสี่ยงที่จะลืม แล้วโดนผู้ไม่ประสงค์ดีมุ่งทำร้ายต่อบัญชีผู้ใช้ของเราที่มีการล็อกอินค้างเอาไว้ได้ การใช้งานตามร้านอินเทอร์เน็ต คาเฟ่ ควรจะต้องระวังในเรื่อง Keylogger อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งวิธีการป้องกันก็คือ ไม่ควรกรอกรหัสผ่านในช่องสำหรับกรอกรหัสผ่านเลย ควรจะคีย์ตัวอักษรที่อื่นๆ เช่นใน notepad สลับกับช่องกรอกรหัสผ่าน เพื่อให้ผู้ไม่ประสงค์ดีไม่สามารถคาดเดาได้ว่าข้อมูบที่มีการคีย์ผ่านคีย์บอร์ดมีอะไรบ้าง **Twitter มีฟีเจอร์ในการป้องกันอะไรบ้าง        ส่วนการป้องกันตัวเองคร่าวๆ จากฟีเจอร์ที่มีในทวิตเตอร์ ให้ไปที่ Setting > Account แล้วเลื่อนไปด้านล่างสุดจะมี HTTPS only ให้ติ๊กถูก ซึ่งการเข้าใช้โปรโตคอลด้วย HTTPS (HTTPS เป็นโปรโตคอลที่จะเป็นการสร้างการสื่อสารแบบเข้ารหัส ซึ่งการเชื่อมต่อแบบ HTTPS มักจะใช้ในธุรกรรมทางการเงินบนเว็บ รวมถึงการรักษาความลับต่างๆ) ทำให้การเข้าใช้งานทวิตเตอร์ทุกครั้งมีการเข้ารหัส ซึ่งทำให้แพกเกจที่มีการส่งออกไปนั้น มีการเข้ารหัสยากที่จะถูกแกะแพกเกจระหว่างทางได้ **แล้ว Facebook ล่ะ ? ด้านการป้องกันของ Facebook ก็มีโปรโตคอล HTTPS เช่นกัน โดยผู้ใช้จะต้องไปที่ Account Setting > Security แล้วติ๊กถูกที่ Secure Browsing แล้วกด Save Changes **มีโปรแกรมสร้าง Password ไหม ?        จริงๆ มันก็มีโปรแกรมประเภทนี้อยู่ ถ้าหากเราลองค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดคำว่า Password Generator ก็คงจะเจอโปรแกรมและเว็บไซต์ที่จะช่วยสร้างรหัสผ่านจำนวนมาก แต่โปรแกรมประเภทนี้จะสร้างรหัสผ่านที่ค่อนข้างจำได้ยาก เนื่องจากเป็นการผสมจากตัวอักษร อักขระพิเศษ ตัวเลข        อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคิดไม่ออกแล้วจริงๆ ว่าจะใช้รหัสผ่านอะไรดี แนะนำให้ไปที่ http://www.pctools.com/guides/password/ และ http://strongpasswordgenerator.com/ ซึ่งเราสามารถกำหนดค่าต่างๆ ได้ และเมื่อเรา Generate Password มันจะมีทิปเล็กๆ น้อยๆ สำหรับให้ผู้ใช้ได้จำรหัสผ่านที่ทางเว็บสร้างให้ **ถ้าอยากรู้ว่ารหัสผ่านที่เราตั้งแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด ต้องทำยังไง ?        ง่ายมาก เพียงแค่เข้าไปที่ https://www.microsoft.com/canada/athome/security/privacy/password_checker.mspx ทางเว็บไซต์ก็จะบอกว่า รหัสผ่านที่เรากรอกไปนั้นมีความเข้มแข็งขนาดไหน จะมีตั้งแต่ระดับ Weak, Medium, Strong และ Best ขอเตือนอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราจะมีระบบการป้องกันเรื่องรหัสผ่าน รหัสผ่านที่ตั้งเข้มแข็งมาก เหนือสิ่งอื่นใดถ้าหากเรายังประมาท หรือไม่เห็นความสำคัญ การป้องกันทั้งหมดก็ไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้ ขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000125729
11 เมษายน 2554     |      7445
ไอซีที อัปเดตโปรแกรมเฝ้าระวังภัยฯ
ก.ไอซีที ลุยปรับปรุงฐานข้อมูลในโครงการจัดการดูแลและเฝ้าระวังภัยแฝงจากการใช้อินเทอร์เน็ตที่ไม่เหมาะสม พร้อมเพิ่มระบบปฏิบัติการและเว็บเบราว์เซอร์ที่รองรับ ตอบสนองความต้องการของหน่วยงานสถานศึกษา และผู้ปกครองที่สนใจ        นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (รมว.ไอซีที) กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงไอซีที ได้ดำเนินโครงการจัดทำโปรแกรมเฮาส์คีปเปอร์ เพื่อป้องกันภัยแฝงจากการใช้อินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ และเกมคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสม พบว่าได้รับการตอบรับจากหน่วยงาน สถานศึกษา คณาจารย์ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และประชาชนที่สนใจเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้แสดงความจำนงขอโปรแกรมไปใช้งานมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้        รวมทั้งยังมีการเรียกร้องขอให้มีการดูแลและปรับปรุงโปรแกรมให้ทันสมัย เพื่อที่ผู้ปกครองและโรงเรียนต่างๆ จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในการป้องกันสื่อออนไลน์ที่ ไม่เหมาะสมและดูแลการใช้งานคอมพิวเตอร์ของเยาวชน        “กระทรวงฯ เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีประโยชน์ต่อสังคมและประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโรงเรียน สถานศึกษา และเยาวชนที่เป็นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ จึงได้จัดทำโครงการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพ จัดการดูแลระบบ และเผยแพร่แนวทางป้องกันภัยแฝงจากการใช้อินเทอร์เน็ตที่ไม่เหมาะสมสำหรับประชาชนทั่วประเทศขึ้น"        โดยมุ่งหวังให้เกิดการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความรู้ กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวและสร้างภูมิคุ้มกันภัยที่แฝงมากับการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งขยายผลการดำเนินการให้ประชาชนโดยทั่วไปมีโอกาสได้เข้าถึงมากขึ้น        ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีเครื่องมือสำหรับใช้ป้องกันเยาวชนและตนเองจากเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมต่างๆ รวมถึงมีแหล่งเครื่องมือ และสามารถเข้าถึงช่องทางการดาวน์โหลดเครื่องมือป้องกันตนเองและบุตรหลานจากภัยแฝงทางอินเทอร์เน็ตได้ เพื่อให้เยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของประเทศเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพสามารถสร้างสรรค์สังคมที่ดีได้ต่อไป การจัดทำโครงการดังกล่าวเป็นการปรับปรุงกระบวนการและขั้นตอนการดูแลเฝ้าระวังให้เหมาะกับการใช้งาน และมีฐานข้อมูลที่ทันสมัย โดยกระทรวงฯ ได้ปรับปรุงโปรแกรมเฮ้าส์คีปเปอร์ เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานมากขึ้น พร้อมเพิ่มสมรรถนะของกระบวนการและขั้นตอนการดำเนินงานให้ทันสมัย และเหมาะสมกับการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (32bit) ได้แก่ XP, Vista และ Windows 7 พร้อมกันนี้ยังสามารถทำงานร่วมกับเบราวเซอร์ต่างๆ ในปัจจุบัน เช่น IE, Firefox และ Chrome ได้ รวมทั้งสามารถปรับปรุงข้อมูลรายการเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมเพิ่มเติมได้ด้วย        น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โปรแกรมดังกล่าวทำขึ้นเพื่อแจกจ่ายใช้งานจำนวน 10,000 ชุด และจะมีการจัดสัมมนาเพื่อเผยแพร่ข้อมูลความรู้สู่ประชาชน รวมทั้งกระตุ้นให้รู้ถึงภัยแฝงและการป้องกันตนจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตที่ไม่เหมาะสมสำหรับประชาชนและสถานศึกษาทั่วประเทศ โดยหวังว่าโครงการฯ นี้ จะช่วยให้เกิดเครือข่ายป้องกันเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมของภาคประชาชนและภาครัฐในรูปแบบสมัครใจ ซึ่งจะเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งและเป็นประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด ขอขอบคุณ ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000122424
1 มกราคม 2557     |      9173
เซเนทาสจี้ ไทยควรมีกฏหมายสำรองข้อมูล
หนุนไทยสร้างภาพลักษณ์น่าเชื่อถือในการดำเนินธุรกิจ เซเนทาสชี้ไทยควรออกกฎหมายคุ้มครองความปลอดภัยของข้อมูล รวมถึงห้ามไม่ให้เปิดเผยข้อมูลที่รั่วไหลออกสู่สาธารณะ        มร. จอห์น ดูบัวส์ ซีอีโอ บริษัท เซเนทาส คอร์ปอเรชั่น จำกัดผู้นำระดับโลกทางด้านเทคโนโลยีการปกป้องข้อมูลระดับสูงจากประเทศออสเตรเลีย กล่าวว่า ประเทศไทยคือผู้นำในด้านการให้ความสำคัญต่อระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และเป็นในประเทศแรกๆในเอเชียที่มีเทคโนโลยีการเข้ารหัสลับควอนตัม แต่อยากเสนอให้ภาครัฐของไทยเร่งวางระบบโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัยสารสนเทศที่เข้มงวด เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ        ปัจจุบันประเทศไทยมีการเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลกซึ่งจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบการเมืองอีกทอดหนึ่ง จึงควรคำนึงถึงความเข้มแข่งในการปกป้องข้อมูลสำคัญ และสร้างความมั่นใจให้แก่คู่ค้า ถึงระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่วิ่งข้ามไปมาบนเครือข่ายข้อมูล อันจะทำให้ได้รับการยอมรับให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเทศที่มีความน่าเชื่อถือสูง ผู้บริหาร เซเนทาส กล่าวว่า ได้มีโอกาสพบปะและสนทนากับผู้บริหารระดับสูง และหัวหน้าฝ่ายดูแลระบบรักษาความปลอดภัยทางด้านไอทีจากหน่วยราชการและหน่วยงานทหาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่และผู้ให้บริการทางการเงินในประเทศไทย พบว่าเกือบทุกแห่งไม่ได้ตระหนักรู้ว่าข้อมูลที่วิ่งบนเครือข่ายเส้นใยนำแสงนั้นมีช่องโหว่        “เป็นเรื่องง่ายที่จะดักจับข้อมูลเสียง ข้อมูลภาพ และข้อมูลต่างๆ จากเส้นใยนำแสงโดยไม่ถูกตรวจจับแต่อย่างใด รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงเทคโนโลยีการเข้ารหัสลับซึ่งช่วยปกป้องข้อมูลที่ถูกจารกรรมหรือมีการเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้โดยบังเอิญ โดยแปลงข้อมูลดังกล่าวให้เป็นขยะที่อ่านไม่ได้”        การเข้ารหัสลับคือวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วทั่วโลกว่า สามารถปกป้องข้อมูลสำคัญที่วิ่งอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง เทคโนโลยีจะช่วยขจัดปัญหาการนำข้อมูลที่ถูกจารกรรมไปใช้ก่อเหตุต่างๆ เพราะระบบจะทำการแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นขยะที่อ่านไม่ออก โดยข้อมูลจะถูกปกป้องจากอัลกอริทึ่มที่ผ่านการรับรองมาตรฐานในระดับสากล ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานกว่า 149 ล้านล้านปีในการถอดรหัส “ประเทศไทยยังคงมีโอกาสที่จะเสริมสร้างชื่อเสียงในด้านการเป็นผู้นำในการอิมพลีเม้นท์ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล ด้วยการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลองค์กรที่สำคัญ ซึ่งวิ่งผ่านเครือข่ายมากมายโดยปราศจากการป้องกันที่ดีพอ ” มร.จอห์น ดูบัวส์ กล่าว
1 มกราคม 2557     |      6606
จับโจรผู้ดีใช้เฟซบุ๊กฉกเงิน
ถือเป็นคดีเตือนใจชาวเฟซบุ๊กได้ดีสำหรับนาย "เอียน วู๊ด (Iain Wood)" หนุ่มนักธุรกิจติดพรมจากอังกฤษวัย 33 ปีที่ถูกตัดสินโทษจำคุก 15 เดือนฐานขโมยเงิน 57,000 ดอลลาร์สหรัฐจากเพื่อนบ้านและเพื่อนมานานกว่า 2 ปี ความพิเศษของคดีนี้คือการใช้ข้อมูลจากเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กจนสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารของเหยื่อได้อย่างแนบเนียน ซึ่งไม่เพียงเตือนใจผู้ใช้ แต่ยังเป็นบทเรียนที่น่าสนใจให้กับธนาคารสถาบันการเงินทั่วโลกที่ให้บริการถอนเงินออนไลน์        วิธีการขโมยเงินของโจรไฮเทครายนี้เริ่มที่การเสนอตัวเป็นเพื่อนกับเพื่อนบ้านหลายคนบนเฟซบุ๊ก จากการสะสมข้อมูลบนหน้าเพจเฟซบุ๊กทำให้โจรวู๊ดสามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารออนไลน์ของเพื่อนบ้านได้ โดยวู๊ดจะใช้วิธีข้ามหน้ากรอกรหัสผ่านเพื่อไปตอบคำถาม security question ซึ่งธนาคารจะเปิดให้ผู้ใช้เลือกเพื่อตอบคำถามเมื่อจำรหัสผ่านไม่ได้ ที่ผ่านมา วู๊ดสามารถตอบคำถามส่วนตัวของเพื่อนบ้านเช่นชื่อกลางของมารดา หรือวันคล้ายวันเกิดของพ่อได้อย่างถูกต้อง เพราะสามารถรวบรวมข้อมูลจากเฟซบุ๊กได้ครบถ้วนและง่ายดาย        หลังจากเข้าถึงบัญชีออนไลน์ได้แล้ว วู๊ดจะแจ้งเปลี่ยนที่อยู่ของเหยื่อ ทำให้จดหมายแจ้งสถานะการถอนเงินไม่ถูกส่งถึงมือเหยื่อ แต่จะส่งมายังวู๊ดแทน จุดนี้รายงานระบุว่า สถาบันการเงินส่วนใหญ่มักไม่ตรวจสอบการแจ้งเปลี่ยนแปลงที่อยู่ของลูกค้าบนเว็บไซต์ ซึ่งทำให้วู๊ดสามารถลักลอบถอนเงินมาราธอนต่อเนื่องถึง 2 ปี รายงานระบุว่า เงิน 57,000 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 1,710,000 บาท) ที่วู๊ดขโมยได้จากการรวบรวมข้อมูลบนเฟซบุ๊กนั้นถูกดำเนินการเป็นระยะตลอดเดือนมิถุนายน 2008 ถึงมิถุนายน 2010 โดยว๊ดสารภาพว่าเงินทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการเล่นพนัน โดยการโจรกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากวู๊ดใช้เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานกว่า 18 ชั่วโมงต่อวันเพื่อพยายามหาทางลักลอบเข้าสู่บัญชีธนาคารออนไลน์หลายบัญชี และรวบรวมข้อมูลของเหยื่อรายต่อไป        ไม่เพียงเฟซบุ๊ก โจรรายนี้ยังหาเหยื่อบนเครือข่ายสังคมค่ายอื่นเช่น Friends United ซึ่งผู้ใช้หลายรายเผลอประกาศข้อมูลส่วนตัวโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์เช่นกัน โดยคดีที่เกิดขึ้นถือเป็นการสะท้อนว่า ชาวเครือข่ายสังคมทุกคนควรตระหนักรู้ว่าไม่ควรตั้งคำถามส่วนตัวที่มีโอกาสถูกโพสต์สู่สาธารณชนโดยไม่ตั้งใจ เช่นข้อมูลส่วนตัวของครอบครัวเพราะคนในครอบครัวอาจประกาศไว้โดยไม่รู้ว่าข้อมูลเหล่านั้นถูกนำมาตั้งเป็นคำถามรักษาความปลอดภัยบัญชีเงินฝากออนไลน์        โจรวู๊ดนั้นถูกจับกุมหลังจากความพยายามโอนเงินจำนวน 2,500 เหรียญสหรัฐฯจากบัญชีของเหยื่อรายหนึ่งไปยังบัญชีของตัวเองในเดือนพฤศจิกายน ปี 2009 โดยตำรวจได้พบหลักฐานส่วนบุคคลสำคัญของเหยื่อจำนวนมากที่ถูกส่งตรงมาถึงมือวู๊ด ทั้งบิลค่าบริการ จดหมายแจ้งหมายเลขรหัสลับบัญชีเงินฝาก พาสปอร์ต รวมถึงจดหมายแจ้งสถานะทางการเงินอื่นๆ ทำให้ตำรวจเข้าใจวิธีการขโมยเงินจากหลายบัญชีของวู๊ด จนกระทั่งวู๊ดรับสารภาพต่อข้อกล่าวหาทั้งหมด การตัดสินคดีโจรไฮเทคนี้เกิดขึ้นที่ศาล Newcastle Crown Court บนโทษจำคุก 15 เดือน คาดว่าหลังจากคดีนี้ สถาบันการเงินและองค์กรต่างๆที่เปิดให้บริการแจ้งเปลี่ยนที่อยู่ออนไลน์ จะเริ่มหันมาใส่ใจและตรวจสอบการแจ้งเปลี่ยนข้อมูลลักษณะนี้มากขึ้น ขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000103386
1 มกราคม 2557     |      8100
ปี 2010 จีนถูกโจมตีออนไลน์ 500,000 ครั้ง
ศูนย์ประสานงานเหตุฉุกเฉินระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติจีนแผ่นดินใหญ่เผย ระบบคอมพิวเตอร์แดนมังกรถูกโจมตีมากกว่า 5 แสนครั้งในปี 2010 ที่ผ่านมา โดยราวครึ่งหนึ่งถูกพบว่ามีต้นตอมาจากประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและอินเดีย        ศูนย์ National Computer Network Emergency Response Coordination Centre แห่งชาติจีน เปิดเผยรายงานสถิติการถูกโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ในประเทศจีนว่า ภัยโจมตีระบบคอมพิวเตอร์จีนส่วนใหญ่อยู่ในรูปโปรแกรมสอดแนมหรือโทรจัน (Trojan) ซึ่งมักแฝงตัวในแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้ติดตั้งในเครื่องโดยไม่รู้ตัว โดยโปรแกรมจะคอยเก็บข้อมูลประวัติการใช้งานเครื่องแล้วส่งออกไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ลับที่คอยควบคุมอยู่จากระยะไกล สำนักความปลอดภัยระบบคอมพ์จีนระบุว่า ไวรัสประสงค์ร้ายหรือมัลแวร์กว่า 15% ที่พบในจีนนั้นมาจากเซิร์ฟเวอร์ที่มีต้นตอในสหรัฐอเมริกา (จากการตรวจสอบหมายเลขไอพีแอดเดรส) โดย 8% มาจากอินเดียแดนโรตี        สถิติเหล่านี้ไม่น่าแปลกใจที่จีนจะมีจำนวนการถูกโจมตีจำนวนมโหฬารเช่นนี้ เพราะจีนนั้นเป็นประเทศที่มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุดในโลกด้วยสถิติ 485 ล้านคน        การเปิดเผยจำนวนภัยโจมตีออนไลน์ของจีนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากบริษัทด้านความปลอดภัยของสหรัฐฯอย่างแมคอาฟี (McAfee) ระบุว่าสามารถตรวจพบขบวนการสอดแนมสมรภูมิไซเบอร์ที่มีขอบเขตครอบคลุมทั้งโลกเพียงไม่กี่วัน จุดนี้แมคอาฟีเชื่อว่าโครงการดังกล่าวจะเป็นปฎิบัติการที่วางกรอบเวลาต่อเนื่องหลายปี อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าผู้ริเริ่มโครงการเป็นใคร แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าเป็นจีน เรื่องนี้สำนักข่าวซินหัว (Xinhua) ประนามการวิเคราะห์ที่ระบุว่าจีนเป็นต้นตอของขบวนการสอดแนมครั้งใหญ่ที่แมคอาฟีค้นพบ ว่าเป็นการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบ โดยปฏิเสธที่จะพูดถึงเหยื่อของขบวนการนี้ที่ไม่มีจีนรวมอยู่ด้วย ซึ่งประเทศที่แมคอาฟีพบว่าถูกสอดแนมนั้นมีตั้งแต่ระบบคอมพิวเตอร์รัฐบาลแคนาดา อินเดีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม        นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จีนถูกมองว่าเป็นผู้ลงมือสอดแนมรัฐบาลหลายประเทศ ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตออกมาระบุว่าพบความพยายามเจาะระบบเข้าไปดูบัญชีจีเมล (Gmail) ของเจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลสหรัฐฯ, ทหาร, ผู้สื่อข่าว รวมถึงผู้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองในจีน โดยกูเกิลพบว่าทั้งหมดมีต้นตอมาจากจีน แน่นอนว่าพี่จีนไม่เคยยอมรับกับข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000099929
9 พฤศจิกายน 2554     |      6684
ฟอร์ติเน็ตชี้ มัลแวร์ Fraudload.OR ระบาดหนัก
รายงานภัยคุกคามเดือนมิ.ย.จากฟอร์ติเน็ตเผยมีมัลแวร์ ละเมิดข้อมูลและสแปมกลับมาโจมตีดุเดือดมากขึ้น มัลแวร์ Fraudload.OR ยังระบาดเป็นเดือนที่ 2 แล้ว สแปมกลับมาโตอีกหลังจากลดลงไป 3 เดือน        ฟอร์ติเน็ต ผู้ให้บริการด้านโซลูชันการบริหารจัดการป้องกันภัยแบบเบ็ดเสร็จหรือยูทีเอ็ม (Unified Threat Management หรือ UTM) เปิดเผยถึงรายงานด้านภัยคุกคามของเดือน มิ.ย. แสดงรายละเอียดของการละเมิดข้อมูลและการโจมตีมากมาย รวมถึงกรณีโซนี่ยุโรปถูกโจมตีอีกครั้งด้วย SQL injection และกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประสบปัญหาถูกโจมตีและละเมิดข้อมูลที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง และยังมีนักแฮ็ก hacktivism ในกลุ่ม LulzSec ที่ยังโจมตีหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐ ฯ และอีเมลขยะยังเพิ่มขึ้นแม้จะดูเหมือนว่า 3 เดือนที่ผ่านมาจะลดลงไปแล้วก็ตาม        ในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์ป้องกันไวรัสฟอร์ติการ์ตแล็บ ได้ตรวจพบว่ามัลแวร์ Fraudload.OR ได้กลับมาเล่นงานผู้ใช้งานอีกครั้ง โดยปลอมตนเองให้ดูเหมือนเป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยป้องกันไวรัส แต่กลับดาวน์โหลดโทรจันและมัลแวร์อื่นๆ ไปติดเครื่องผู้ใช้งานนั้น ซึ่งพบว่าการแพร่กระจายของ Fraudload.OR มีสูงมากถึง 1ใน 3 ของการโจมตีของมัลแวร์ใหม่ทั้งหมดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา        เนื่องจากมัลแวร์ Fraudload.OR รู้จักโปรแกรมตัวโหลดเดอร์ FakeAV ดี จึงมีส่วนส่งผลให้ Fraudload.OR กลับมาเล่นงานอย่างหนักในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา โดย FakeAV หรือ Fake AntiVirus คือโปรแกรมแอนติไวรัสหลอก จัดเป็นมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่มักจะแสดงข้อความเตือนเหยื่อให้มีความกังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง โดยข้อความที่ขึ้นมาเตือนนี้จะชักนำผู้ใช้ให้เข้าไปสู่เว็บไซต์เพื่อเรียกเก็บเงินค่าบริการกำจัดภัยคุกคามที่ไม่ได้มีตัวตนนั้น ซึ่ง FakeAV นี้จะโผล่ขึ้นมาสร้างความรำคาญและรบกวนผู้ใช้งานจนกว่าจะมีการชำระเงินแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ มีการอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารที่เป็นของผู้ประกอบการทำ FakeAV โดยอัยการสหรัฐอเมริกามูลค่าเกือบ 15 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ มีการรุกรานที่โปรแกรม MS.IE.CSS.Self.Reference.Remote.Code.Execution (CVE - 2010 - 3971) อยู่ในอันดับต้นๆ ซึ่งเป็นการจู่โจมที่ช่องโหว่บนอินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ 8 และรุ่นก่อนหน้านี้ โดยจะถูกปลุกขึ้นมาโจมตีเพียงผู้ใช้งานแค่เรียกดูหน้าเว็บเพจที่มี CSS ที่เป็นอันตรายอยู่        CSS หรือ Cascading Style Sheets คือ ชุดคำสั่งที่ใช้สำหรับการกำหนดการแสดงผลข้อมูลหน้าเว็บเพจ เป็นมาตรฐานหนึ่งที่กำหนดขึ้นมาเพื่อใช้ในการตกแต่งหน้าเอกสารเว็บเพจโดยเฉพาะ ขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000090540
11 เมษายน 2554     |      8244
"ซิตี้กรุ้ป"แจงลูกค้ามะกัน 360,000 รายโดนขโมยข้อมูล
หลังจากออกมายอมรับว่าโดนแฮกเกอร์เจาะระบบขโมยข้อมูลลูกค้าในสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแต่ยังไม่เปิดเผยตัวเลขผู้เสียหายที่แน่ชัด ล่าสุดบริษัทสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างซิตี้กรุ้ป (Citigroup) ประกาศว่าจำนวนลูกค้าบัตรเครดิตที่อยู่ในความเสี่ยงจากการเจาะระบบดังกล่าวมีจำนวนมากกว่า 360,000 คน ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการคาดการณ์เบื้องต้นเกือบเท่าตัว        เพราะซิตี้กรุ้ปออกแถลงการณ์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าการถูกเจาะระบบข้อมูลออนไลน์ครั้งล่าสุดทำให้ลูกค้าซิตี้แบงก์ราว 1% ตกอยู่ในความเสี่ยง ซึ่งเมื่อคำนวณเทียบกับฐานลูกค้าซิตี้แบงก์ในอเมริกาเหนือ 21 ล้านคนตามรายงานประจำปี 2010 ทำให้สื่อสหรัฐฯเชื่อว่าตัวเลขผู้มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจะอยู่ที่ราว 200,000 คน เมื่อครั้งนี้ซิตี้กรุ้ปประกาศจำนวนผู้ตกอยู่ในความเสี่ยง 360,083 คน สถิติผู้เสียหายจึงถูกมองว่าเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร        การถูกเจาะระบบของซิตี้กรุ้ปถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2011 โดยซิตี้กรุ้ปออกมายอมรับว่าพบร่องรอยการแฮกผ่านระบบบัญชีใช้งานออนไลน์ (Account Online) เชื่อว่าแฮกเกอร์มีจุดประสงค์ในการเข้าถึงข้อมูลบัตรเครดิตของลูกค้าซิตี้กรุ้ปเขตสหรัฐอเมริกา เบื้องต้นคาดว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลชื่อ หมายเลขบัญชี ข้อมูลที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ และอีเมลแอดเดรสเท่านั้น ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่าน วันเกิด วันหมดอายุบัตร หรือข้อมูลส่วนตัวที่อาจจะนำไปสู่การถูกขโมยตัวตน คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้นทั้งหมดนี้ซิตี้กรุ้ปยืนยันว่าได้มีการป้องกันและสอดส่องดูแลความผิดปกติอย่างเข้มงวดนับตั้งแต่สามารถตรวจจับพบว่าระบบของซิตี้กรุ้ปถูกแฮก โดยได้เริ่มส่งจดหมายชี้แจงแก่ลูกค้าที่มีความเสี่ยงตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน และลูกค้ากว่า 217,657 คนได้รับบัตรใบใหม่เพื่อใช้แทนใบเดิมเรียบร้อย โดยผู้ใช้ที่เหลืออีกกว่า 1.5 แสนรายนั้นบางส่วนปิดบัญชี ขณะที่บางส่วนได้รับบัตรใบใหม่แล้วเพราะเหตุผลที่ต่างกันไป สำหรับข้อมูลการแฮกอื่นๆ ซิตี้กรุ้ประบุว่าไม่สามารถเปิดเผยได้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าและเพื่อไม่ให้เสียรูปคดี โดยย้ำให้ผู้ใช้บริการบัตรเครดิตของซิตี้กรุ้ปทุกคนจับตาธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ แล้วรายงานให้ซิตี้กรุ้ปทราบโดยเร็ว        ซิตี้กรุ้ปเป็นเพียง 1 ในหลายหน่วยงานใหญ่ที่ตกเป็นข่าวถูกแฮกระบบในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ โดยสถาบันการเงินระดับโลกอย่างไอเอ็มเอฟ (International Monetary Fund) กลายเป็นข่าวถูกเจาะระบบโดยแฮกเกอร์ไม่ทราบสัญชาติเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับกูเกิล (Google) ที่ยอมรับเมื่อต้นเดือนมิถุนายนว่าบัญชีจีเมล (Gmail) บริการอีเมลของกูเกิลถูกเจาะระบบจนทำให้ข้อมูลผู้ใช้หลายร้อยคนถูกดึงไป หรือในเดือนเมษายนที่บริษัทโซนี่ (Sony) ออกมายอมรับว่าระบบเกมเพลย์สเตชัน (Playstation Network) นั้นถูกเจาะระบบ ทำให้ผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนมีความเสี่ยงถูกขโมยข้อมูล
9 พฤศจิกายน 2554     |      7332
กูเกิลไว อุดรูรั่วกันผู้ใช้แอนดรอยด์ 99% ถูกขโมยข้อมูล
เกิลประกาศสามารถแก้ไขปัญหาช่องโหว่ความปลอดภัยล่าสุดในแอนดรอยด์ได้แล้ว ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ถูกรายงานว่าจะมีผลทำให้ผู้ใช้อุปกรณ์แอนดรอยด์มากกว่า 99% ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวได้ กูเกิลย้ำว่าการอุดรูรั่วครั้งนี้ ผู้ใช้มือถือแอนดรอยด์จะไม่ต้องดำเนินการใดๆ และกูเกิลจะลงมือแก้ไขปัญหาให้ผู้ใช้ทั่วโลกต่อเนื่องในช่วง 2-3 วันนับจากนี้        ประชาสัมพันธ์กูเกิลเปิดเผยกับสำนักข่าว PCMag ว่าได้เริ่มแก้ไขช่องโหว่ในแอนดรอยด์ตั้งแต่วันพุธที่ 18 พฤษภาคมตามเวลาสหรัฐฯ โดยยอมรับว่าช่องโหว่ดังกล่าวเป็นช่องโหว่ที่ทำให้บุคคลที่สามสามารถแฝงตัวเข้ามาดึงข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ (contact) และรายการปฏิทินงานโดยที่เจ้าของเครื่องไม่รู้ตัวจริง แต่กูเกิลไม่ยอมเปิดเผยสัดส่วนอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากรูรั่วดังกล่าว        เพราะกูเกิลถูกตั้งข้อสังเกตโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Ulm แห่งเยอรมนี ว่ารูรั่วในแอนดรอยด์ที่เกิดขึ้นนั้นครอบคลุมสัดส่วนมากกว่า 99% ในอุปกรณ์แอนดรอยด์ทั้งหมด โดยหากเจ้าของเครื่องใช้อุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อในเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ก็จะสามารถถูกโจมตีได้ เบื้องต้นคาดว่าอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android 2.3.3 หรือต่ำกว่าจะมีช่องโหว่นี้        เหตุที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะสามารถขโมยข้อมูลยูเซอร์เนมและพาสเวิร์ดไปได้ เนื่องจากความผิดพลาดในโปรโตคอล ClientLogin ซึ่งทำงานเมื่อผู้ใช้ลงชื่อใช้งานแอปพลิเคชันในอุปกรณ์แอนดรอยด์ ความผิดพลาดทำให้ข้อมูลชื่อยูสเซอร์เนมและรหัสผ่านไม่ถูกเข้ารหัส เป็นช่องโหว่ให้แฮกเกอร์สามารถใช้เพื่อแฮกข้อมูลรหัสผ่านได้        การทดลองพบว่าแอนดรอยด์ที่ปลอดภัยจากรูรั่วนี้คือเวอร์ชัน 2.3.4 และ 3.0 เท่านั้น รุ่นที่ออกมาก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงพบรูรั่วเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งเท่ากับสัดส่วน 99.7% ของมือถือแอนดรอยด์ทั่วโลก นอกจากการอัปเดทเฟิร์มแวร์ให้เร็วที่สุด ทีมนักวิจัยยังแนะนำให้ผู้ใช้แอนดรอยด์ระวังตัวด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์กับระบบเครือข่ายที่มีการเข้ารหัสอย่างปลอดภัยเท่านั้น และให้ปิดการเชื่อมต่อเครือข่ายไว-ไฟที่ไม่มีการเข้ารหัสที่เคยเชื่อมต่อไว้ (Forget Network) เพื่อป้องกันการเชื่อมต่ออัตโนมัติ ขอขอบคุณ ASTV ผู้จัดการhttp://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000061351
9 พฤศจิกายน 2554     |      6856
50 องค์กรมะกันป่วน ถูกขโมยข้อมูลลูกค้า
ถือเป็นหนึ่งในวิกฤตออนไลน์ซึ่งสื่ออเมริกันให้ความสนใจมากในขณะนี้ สำหรับบริษัท Epsilon Data Management บริษัทการตลาดออนไลน์ซึ่งถูกโจรไฮเทคเจาะระบบเข้าไปขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคที่ Epsilon เก็บรักษาไว้ เพราะปรากฏว่าส่วนหนึ่งของข้อมูลที่ถูกขโมยไปนั้นเป็นข้อมูลชื่อและอีเมลของลูกค้าขององค์กรยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯมากกว่า 50 แห่ง ทำให้ขณะนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯต่างออกมาประกาศเตือนภัยลูกค้าของตัวเองให้ระมัดระวัง อย่าหลงเชื่ออีเมลปลอมซึ่งอาจแพร่ระบาดในอนาคตอันใกล้        ขณะนี้ บริษัทสถาบันการเงิน ร้านค้าปลีก และบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่อเมริกันอย่าง JPMorgan Chase, Kroger, TiVo, Best Buy, Walgreen, Capital One และบริษัทอื่นๆ เริ่มประกาศเตือนภัยลูกค้าให้ระวังภัยล่อลวงในอีเมล เนื่องจากข้อมูลชื่อและอีเมลลูกค้าบางส่วนนั้นตกอยู่ในมือของโจรไฮเทคทันทีที่บริษัท Epsilon ถูกเจาะระบบ โดยบริษัท Epsilon นั้นเป็นบริษัทรับเอาท์ซอร์สบริการส่งอีเมลแทนองค์กรอเมริกันมากกว่า 2,500 แห่ง        อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้สร้างความหวั่นใจให้ผู้บริโภคอย่างเดียว แต่ยังนำไปสู่ความไม่พอใจด้วย เพราะชาวอเมริกันมองว่าบริษัทเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ส่งต่อข้อมูลส่วนตัวให้กับบริษัทอื่นโดยที่ไม่ได้รับความเห็นชอบ ที่สำคัญ นักวิเคราะห์นั้นมองว่า การโจมตี Epsilon นั้นเป็นสัญญาณที่แสดงว่านับจากนี้ นักเจาะระบบจะหันมาให้ความสำคัญกับการเจาะระบบบริษัทเอาท์ซอร์สลักษณะเดียวกับ Epsilon เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นสุดยอดกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นความคุ้มค่าในการลงมือเจาะระบบเดียวแต่ได้ข้อมูลเหยื่อจากหลายบริษัท        จุดนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์มองว่า นับจากนี้โลกจะกังวลกับช่องโหว่ในบริษัทเอาท์ซอร์สซึ่งเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดย John Pescatore นักวิเคราะห์ด้านความปลอดภัยของการ์ทเนอร์ ให้ความเห็นว่ากรณี Epsilon คือหนึ่งในตัวอย่างมากมายที่แสดงถึงเหตุผลที่บริษัทซึ่งรับเอาท์ซอร์สงานจากบริษัทหลายพันแห่ง จะต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มากกว่าบริษัทซึ่งเก็บข้อมูลเฉพาะลูกค้าของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวลว่า ชาวอเมริกันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงถูกล่อลวงด้วยภัยออนไลน์ทางอีเมล โดยเฉพาะภัยฟิชชิง (phishing) ซึ่งมักทำให้โจรร้ายได้รับข้อมูลสำคัญเช่น รหัสผ่าน ข้อมูลลับทางการเงิน และข้อมูลอื่นๆ แม้ฟิชชิงจะได้รับการระบุว่าเข้าสู่ช่วงขาลงเมื่อปี 2009 ที่ผ่านมา        ฟิชชิงคือการตบตาผู้บริโภคด้วยอีเมลปลอม โดยโจรขโมยข้อมูลจะส่งอีเมลปลอมซึ่งจงใจสร้างให้เหมือนว่าเป็นอีเมลจากธนาคาร สถาบันการเงิน หรือหน่วยงานใหญ่ที่น่าเชื่อถือ เนื้อหาในเมลคือการแต่งเรื่องเพื่อจูงใจให้ผู้ใช้หลงคลิกลิงก์เว็บไซต์ปลอมที่แนบมาในเมล เว็บไซต์ปลอมเหล่านี้จะมีช่องให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลสำคัญเพื่อยืนยันตัวบุคคล เช่นชื่อยูสเซอร์เนม พาสเวิร์ด เลขที่บัตรเครดิต หรือข้อมูลสำคัญตามที่โจรต้องการ และเมื่อผู้ใช้หลงกลกรอกและส่งข้อมูลไป ข้อมูลสำคัญก็จะตกไปอยู่ในมือโจรร้ายแทน        ฟิชชิงที่พบบ่อยคือ อีเมลปลอมแจ้งผู้ใช้ว่าธุรกรรมการเงินมีปัญหา และต้องได้รับการยืนยันข้อมูลอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม ปลายปี 2009 ผลสำรวจสแปมเมลจากยักษ์ใหญ่ไอบีเอ็ม (IBM) พบว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือภาวะขาลงของอีเมลลวงประเภทฟิชชิงอย่างชัดเจน โดยพบว่าสัดส่วนเมลฟิชชิงครึ่งปีแรกของปี 2009 มีจำนวนน้อยกว่าสัดส่วนในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2008 ซึ่งสามารถตรวจพบเมลฟิชชิงราว 0.2-0.8% ของสแปมเมลทั้งหมด        สำหรับกรณีของ Epsilon ประชาสัมพันธ์ Jessica Simon ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลความเสียหายจากการถูกเจาะระบบครั้งนี้ ทั้งในแง่จำนวนชื่อและอีเมลแอดเดรสที่ถูกขโมย รวมถึงแนวทางแก้ไขในอนาคต แต่ยืนยันว่านอกจากชื่อและอีเมล ไม่มีข้อมูลส่วนตัวอื่นใดของลูกค้าที่ถูกขโมย โดยขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนและป้องกันปัญหาอย่างเต็มกำลัง        ล่าสุด มีการประเมินจาก SecurityWeek บริษัทอินเทอร์เน็ตซีเคียวริตี้ในสหรัฐฯ ว่า Epsilon นั้นมีการส่งออกอีเมลมากกว่า 4 หมื่นล้านฉบับต่อปี ซึ่งดำเนินการแทนบริษัทอเมริกันมากกว่า 2,500 แห่ง โดยตัวเลขดังกล่าวไม่ได้รับการยืนยันใดๆจาก Epsilon        นอกจากการเตือนภัยลูกค้าของแต่ละบริษัท รายงานระบุว่าบริษัทซึ่งเป็นลูกค้าที่เอาท์ซอร์สงานให้บริษัท Epsilon กำลังมีการสอบสวนภายในเพื่อวิเคราะห์และยืนยันข้อมูลที่ส่งให้ Epsilon โดยทั้งหมดยังไม่มีการให้ข้อมูลผลกระทบที่ลูกค้าได้รับในขณะนี้
9 พฤศจิกายน 2554     |      7338
เตือนระวังภัย "วันโกหก" ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก
รายงานล่าสุดจากบริษัท เทรนด์ ไมโคร ระบุว่า ภัยคุกคามปัจจุบันกำลังเก่งกาจมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการปรับตัวเข้ากับสื่อสังคมออนไลน์และพยายามล่อลวงผู้ใช้ให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ ในการโจมตีครั้งล่าสุดข้อความสแปมพื้นฐานที่ปรากฏในกล่องข้อความเข้า (Inbox) ใน เฟซบุ๊ก ของผู้ใช้จะลวงผู้ใช้ว่ามีข้อความ “เซอร์ไพรซ์” บางอย่างรออยู่        จากยอดผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่เป็นหนึ่งในไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลกด้วยจำนวนสมาชิกกว่า 500 ล้านรายและกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติในปี 2554 ของ เฟซบุ๊ก เองนั้นพบว่าผู้ใช้บริการ เฟซบุ๊ก ที่อยู่นอกประเทศสหรัฐอเมริกามีจำนวนมากถึง 70% และ 50% ล็อกออนเข้าสู่ไซต์เป็นประจำทุกวันสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลหลักที่ว่าเหตุใดบรรดาอาชญากรไซเบอร์จึงเลือกที่จะใช้ไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์หาประโยชน์ให้กับตนเอง        เครือข่ายสังคมออนไลน์เกือบทั้งหมดมีระบบรับส่งข้อความที่อาจนำไปสู่การใส่ลิงก์ที่เป็นอันตรายลงในข้อความนั้นๆ ซึ่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา บรรดาฟิชเชอร์ได้ใช้การสนทนาของ เฟซบุ๊ก เพื่อทำให้ผู้ใช้ส่งส่งลิงก์สแปมผ่านการสนทนาของ เฟซบุ๊ก ไปให้เพื่อนของตนโดยไม่รู้ตัว และผู้ที่หลงเชื่อคลิกลิงก์สแปมดังกล่าวก็จะถูกนำไปยังเพจลวง เมื่อมีการป้อนข้อมูลประจำตัวของ เฟซบุ๊ก ในเพจลวงนั้นก็จะกลายเป็นว่าข้อมูลเหล่าดังกล่าวตกไปอยู่ในมือของฟิชเชอร์ในทันที        ระบบรับส่งข้อความของ เฟซบุ๊ก ยังถูกใช้โดยบุคคลที่อยู่เบื้องหลังบ็อตเน็ต KOOBFACE ที่เป็นที่รู้จักกันดีอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการติดเชื้อ KOOBFACE โดยทั่วไปนั้นจะเริ่มด้วยสแปมที่ส่งผ่านทาง เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, มายสแปซ หรือไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์อื่นๆ ในรูปของข้อความที่มักจะดึงดูดใจพร้อมด้วยลิงก์ที่ลวงให้เข้าไปรับชมวิดีโอ สิ่งนี้ทำให้ KOOBFACE กลายเป็นมัลแวร์ตัวแรกที่สามารถแพร่กระจายผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เป็นผลสำเร็จ        ทั้งนี้มัลแวร์ใหม่ล่าสุดก็ได้หันมาใช้เทคนิคนี้ด้วยเช่นกัน โดยใช้ประโยชน์ของระบบรับส่งข้อความของ เฟซบุ๊ก ในการปลอมข้อความส่วนตัวที่เหมือนว่ามาจากเพื่อนคนใดคนหนึ่ง ข้อความดังกล่าวจะมีลิงก์ที่จะชี้ไปยังเพจ Blog*Spot (หรือ Blogger) พร้อมกับข้อความว่า “I got u surprise.” (ฉันมีเซอร์ไพรซ์ให้คุณ) การคลิกลิงก์ดังกล่าวจะนำผู้ใช้ไปยังเพจแอปพลิเคชั่น เฟซบุ๊ก ที่ดูเหมือนว่าถูกต้องแต่จริงๆ แล้วเป็นสถานที่ซึ่งเซอร์ไพรซ์ลวงกำลังรอเหยื่ออยู่        ความจริงก็คือลิงก์ที่คาดว่านำไปยังเพจ Blog*Spot จะนำเหยื่อไปยังเพจ เฟซบุ๊ก ลวงแทน อย่างไรก็ตามถ้าผู้ใช้ไม่รู้ว่านี่เป็นการหลอกลวงและยังคงคลิกรูป “Get a surprise now!” (เปิดรับเซอร์ไพรซ์เดี๋ยวนี้) พวกเขาก็จะลงเอยด้วยการดาวน์โหลด TROJ_VBKRYPT.CB ลงในระบบของตน จากนั้นโทรจันตัวนี้จะดาวน์โหลด TROJ_SOCNET.A ซึ่งจะส่งข้อความไปยังเพื่อน เฟซบุ๊ก และ/หรือ ทวิตเตอร์ ของผู้ใช้ที่ติดเชื้อ ข้อความดังกล่าวจะมีลิงก์ไปยังไซต์ที่โฮสต์มัลแวร์อยู่และเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็จะเกิดขึ้นวนวียนต่อเนื่องกันไป ที่สำคัญการโจมตีในลักษณะนี้เป็นอันตรายอย่างมากเนื่องจากมีการพิสูจน์แล้วว่ามัลแวร์ตัวนี้สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง        สำหรับการโจมตีในลักษณะนี้ ผู้ที่ใช้บริการตรวจสอบประวัติไฟล์ของสมาร์ท โพรเท็คชั่น เน็ตเวิร์ค จะตรวจหาและป้องกันไม่ให้มีการดาน์โหลดไฟล์ที่เป็นอันตรายที่ตรวจพบว่าเป็น TROJ_VBKRYPT.CB และ TROJ_SOCNET.A ในระบบของผู้ใช้ บริการตรวจสอบประวัติเว็บจะบล็อกการเข้าถึงไซต์ที่เป็นอันตรายแม้ว่าผู้ใช้จะถูกลวงให้คลิกลิงก์อันตรายก็ตาม นอกจากนี้ผู้ใช้ควรระมัดระวังในการเปิดข้อความและคลิกลิงก์ของไซต์แม้ว่าจะดูเหมือนว่ามาจากเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊ก และ/หรือ ทวิตเตอร์ ก็ตาม สำหรับสิ่งที่อาจบ่งชี้ได้ว่าข้อความที่ได้รับนั้นเป็นสแปมหรือฟิชชิ่ง อาจดูได้จากข้อผิดพลาดของเครื่องหมายวรรคตอนและไวยากรณ์ที่เห็นได้ชัดเจนในหลายจุด ซึ่งเป็นเพียงบางตัวอย่างที่จะแจ้งเตือนให้ผู้ใช้รู้ได้ว่าไซต์ที่พวกเขากำลังเข้าเยี่ยมชมนั้นไม่ใช่ไซต์ที่ถูกต้องขอบขอบคุณ ASTV ผู้จัดการที่มา http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000041131
9 พฤศจิกายน 2554     |      6228
ทั้งหมด 12 หน้า