งานระบบเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ต
Networking Systems and Internet Services
Dugga - Digital Assessment Platform
Dugga - Digital Assessment Platform (https://www.dugga.com ผู้ช่วยคนสำคัญที่จะทำให้การสอบบนโลกออนไลน์ เป็นเรื่องที่ง่ายชูฟีเจอร์เด่น- ประเภทคำถามที่หลากหลายกว่า 15 ประเภท- ระบบความปลอดภัยขั้นสูงล็อกเครื่องกั้นโกง- ใช้งานร่วมกับ Microsoft Teams ได้อย่างไร้รอยต่อ- รองรับการเข้าสอบพร้อมกันได้ระดับหลักแสนคน- AI คุมสอบ ตรวจจับละเอียด พร้อมประเมินความเสี่ยงการทุจริตได้อย่างแม่นยำข่าวประชาสัมพันธ์• VDO อบรมการใช้งาน Dugga (วันที่ 4 กรกฎาคม 2567)คู่มือการใช้งานระบบ Dugga สำหรับอาจารย์คู่มือการใช้งานระบบ Dugga สำหรับนักศึกษาเกี่ยวกับ DUGGA          Dugga Digital Assessment หรือ Dugga (อ่านว่า ดุกก้า) เป็นแพลตฟอร์มการประเมินแบบดิจิทัลที่สามารถใช้ภายในโรงเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย และองค์กรต่าง ๆ โดยแพลตฟอร์ม Dugga รองรับการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการทั่วไป เช่น Windows, Mac OS X, iPad OS และ Chrome OSการใช้งานสำหรับอาจารย์          1.เข้าที่ URL  https://auth.dugga.com/login จากนั้นเลือก Log in with Microsoft สามารถใช้งานผ่าน eMail มหาวิทยาลัยแม่โจ้
11 กรกฎาคม 2567     |      1950
วิธีการเปลี่ยนการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator
วิธีการเปลี่ยนการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticatorเครื่องมือที่ใช้ในการยืนยันตัวตน Multi-Factor Authentication (MFA) เป็นวิธีการในการยืนยันตัวตน โดยใช้การยืนยันตัวตนหลายอย่าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ ทำให้สะดวกในการใช้งานและมีความปลอดภัยมากขึ้น1. เข้า Email มหาวิทยาลัยแม่โจ้ https://www.office.comทำการลงชื่อผู้ใช้งานให้เรียบร้อย แล้วกดที่ Profile มุมขวาบน แล้วเลือก View account2. เลือก Security info3. ทำการลบ Sign-in method ที่ไม่จำเป็นออก เมื่อลบแล้วให้กด Add sign-in method4. เลือก Authenticator app กด Add5. ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือ แล้วกด Next  ** ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้ ตามระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานทั้ง Android และ iOS6. เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือแล้ว กด Next7. เปิดโปรแกรม Microsoft Authenticator app ในโทรศัพท์มือถือ กดเพิ่มเครื่องหมาย +8. เลือก Work or school account แล้วเลือก Scan QR Code9. ทำการ Scan QR code ที่ปรากฎในหน้าจอ**หากไม่สามารถ Scan QR code ได้เนื่องจาก QR code หมดอายุ ให้คลิ๊ก Back แล้วกด Next เพื่อให้ QR Code แสดงใหม่แล้วทำการ Scan ใหม่อีกครั้ง10. เมื่อ Scan QR code บนโทรศัพท์มือถือสำเร็จ จะปรากฎชื่อบัญชีที่ตั้งค่าใน Microsoft Authenticator app และจะปรากฎชุดตัวเลข บนหน้าจอ11. ทำการกรอกตัวเลขไปยัง Microsoft Authenticator app บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วกด Yes12. กด Next13. Microsoft Authenticator app ทำการยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว กด Done14. การยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator สำเร็จแล้ว สามารถเลือกวิธีการยืนยันตัวตนได้ โดยกด Change15. ค่าเริ่มต้นการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator คือ App based authentication - notification
17 กุมภาพันธ์ 2567     |      8259
การเปิดใช้งาน MFA Microsoft Authenticator
การเปิดใช้งาน MFA Microsoft Authenticatorเข้าใช้งานเว็บไซต์ https://www.office.com ทำการลงชื่อผู้ใช้งาน Sign in2. Login โดยใช้ username @mju.ac.th แล้วกด Next3. ใส่รหัสผ่าน Email แล้วกด Sign in4. กด Next เพื่อเข้าใช้งาน5. ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือ แล้วกด Next  ** ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้ ตามระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานทั้ง Android และ iOS6. เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือแล้ว กด Next7. เปิดโปรแกรม Microsoft Authenticator app ในโทรศัพท์มือถือ กดเพิ่มเครื่องหมาย +8. เลือก Work or school account แล้วเลือก Scan QR Code9. ทำการ Scan QR code ที่ปรากฎในหน้าจอ**หากไม่สามารถ Scan QR code ได้เนื่องจาก QR code หมดอายุ ให้คลิ๊ก Back แล้วกด Next เพื่อให้ QR Code แสดงใหม่แล้วทำการ Scan ใหม่อีกครั้ง10. เมื่อ Scan QR code บนโทรศัพท์มือถือสำเร็จ จะปรากฎชื่อบัญชีที่ตั้งค่าใน Microsoft Authenticator app และจะปรากฎชุดตัวเลข บนหน้าจอ11. ทำการกรอกตัวเลขไปยัง Microsoft Authenticator app บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วกด Yes12. กด Next13. Microsoft Authenticator app ทำการยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว กด Done14. เข้าใช้งาน MS365 ผ่านเว็บ Browser ได้
15 กุมภาพันธ์ 2567     |      11749
การถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud
การถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud ด้วย Creative Cloud Cleaner tool How and when to use the Creative Cloud Cleaner tool?ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ Windows ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ macOS ขั้นตอนการถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud (ระบบปฏิบัติการ Windows)1. ทำการ ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ Windows2. แตกไฟล์ zip คลิ๊กขวาเลือก Run as administrator3. เลือก e แล้วกด Enter4. พิมพ์ y กด Enter5. เลือกโปรแกรมที่ต้องการจะลบ เลือกลบทั้งหมด (All) พิมพ์ 1 แล้วกด Enter6.ดูหมายเลข ของ Clean All. ใส่หมายเลขแล้วกด Enter 7.พิมพ์ y กด Enter เพื่อยืนยันการลบโปรแกรม เมื่อเสร็จแล้วกด Enter ออกจากโปรแกรม แล้ว Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการลบโปรแกรม Adobe Creative Cloud  ขั้นตอนการถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud (ระบบปฏิบัติการ macOS)ทำการดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ macOSแตกไฟล์ zip แล้ว Double Click เพื่อติดตั้งโปรแกรม กด Open3. เลือกโปรแกรมที่ต้องการจะลบ เลือกลบทั้งหมด (All) กด Clean All4. เมื่อทำการถอนการติตตั้งเสร็จ ปิดโปรแกรม แล้ว Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการลบโปรแกรม Adobe Creative Cloud 
13 พฤศจิกายน 2566     |      8866
โครงการสัมมนา“ChatGPT กับการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน”
คุณธนชาต วิวัฒนภูติ Business Development & Marketing Manager จากบริษัท ลานนาคอม จำกัด ที่ได้มาให้ความรู้โครงการ "ChatGPT กับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน" กองเทคโนโลยีดิจทัล สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ดำเนินการจัดโครงการสัมมนา“ChatGPT กับการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ประยุกต์ใช้ให้ทันโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง เรียนรู้วิธีการใช้งาน ChatGPT ให้เป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในวันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2566 เวลา 9.00-12.00 น. ผ่านระบบ Webinar MS Teamsเอกสารที่เกี่ยวข้องวิดีโอโครงการสัมมนา“ChatGPT กับการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน” ช่วงที่ 1วิดีโอโครงการสัมมนา“ChatGPT กับการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางาน” ช่วงที่ 2
16 กรกฎาคม 2566     |      872
พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA)
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่นำไปสู่การออกกฎหมาย PDPA คือ การที่ข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหลสู่สาธารณะ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ข้อมูลต่างๆ ถูกแปลงให้อยู่ในรูปดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลสามารถหลุดออกไปได้หลากหลายช่องทางโดยบางครั้งเจ้าของข้อมูลก็ไม่รู้ตัว เช่น การโพสต์ข้อมูลส่วนบุคคลลงสื่อสังคมออนไลน์ การใช้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ แล้วกดตกลงให้ความยินยอมในการให้ข้อมูลเองโดยไม่อ่านรายละเอียด การโดนแฮ็กหรือเจาะขโมยข้อมูล การถูกหลอกลวงด้วยวิธีต่างๆ เช่น Phishing เป็นต้น การรั่วไหลหรือขโมยข้อมูลส่วนบุคคลอาจนำไปสู่ความเสียหายดังต่อไปนี้ • ถูกนำไปใช้ในทางผิดกฎหมาย เช่น เลขบัตรประชาชนถูกนำไปใช้เปิดบัญชีเพื่อฉ้อโกงผู้อื่น คลิปส่วนตัวถูกข่มขู่แบล็กเมล เป็นต้น • โดนจารกรรมทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการใช้หมายเลขบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า หรือโอนเงินจากบัญชีธนาคาร • ถูกนำไปทำการตลาดต่อ ส่งผลให้เจ้าของข้อมูลถูกรบกวนด้วยโฆษณา ขายสินค้าและบริการต่างๆ • ถูกปลอมแปลงตัวตน แล้วเอาไปแอบอ้างทำเรื่องเสียหายหรือผิดกฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนไทย ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ บัญชีธนาคาร อีเมล ไอดีไลน์ บัญชีผู้ใช้ของเว็บไซต์ ลายนิ้วมือ ประวัติสุขภาพ รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถระบุถึงตัวเจ้าของข้อมูลนั้นได้ ทั้งในรูปแบบเอกสาร กระดาษ หนังสือ หรืออิเล็กทรอนิกส์ กฎหมาย PDPA จึงถูกพัฒนาและเตรียมบังคับใช้งานอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิถุนายน 2022 นี้ หลักสำคัญของกฎหมาย PDPA สามารถสรุปได้เป็น 6 ประเด็น ดังนี้ 1. เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ลบ เพิ่ม ห้าม แก้ไข และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองได้ 2. ต้องให้ความสะดวกในการขอเพิกถอนสิทธิ เช่นเดียวกับตอนที่ขอข้อมูลมาจากเจ้าของข้อมูลในตอนแรก 3. เก็บข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่จำเป็น ตามวัตถุประสงค์ในการขอข้อมูลมา 4. เมื่อพบข้อมูลรั่วไหล ต้องแจ้งเจ้าของข้อมูลและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดภายใน 72 ชั่วโมง 5. ต้องมีผู้ดูแล รับผิดชอบ และควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล 6. โทษปรับสูงสุดไม่เกิน 5,000,000 บาท โดยอาจมีความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ไม่ว่าจะเป็น Data Controllers หรือ Data Processors 8 ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมขององค์กรก่อน PDPA ประกาศใช้ มีคำแนะนำสำหรับการเตรียมความพร้อมขององค์กรในภาพใหญ่ 8 ข้อ ดังนี้ 1. ทำความเข้าใจว่ากฎหมาย PDPA คืออะไร 2. ตั้งงบประมาณ 3. แต่งตั้งทีมรับผิดชอบ 4. กำหนดประเภทข้อมูลและวัตถุประสงค์ 5. เตรียมข้อกำหนด แนวทางปฏิบัติในการปกป้องข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด 6. สร้างความตระหนักรู้ให้กับเจ้าของข้อมูลและประชาสัมพันธ์ให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้อง 7. พัฒนาทักษะและกระบวนการตรวจสอบ 8. ปรับปรุงกระบวนการและออกแบบให้เหมาะสมกับการคุ้มครองข้อมูงส่วนบุคคลอยู่เสมอ สำหรับขั้นตอนในการรับมือกฎหมาย PDPA โดยละเอียดได้แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1. Data Discovery ค้นหาและตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล 2. Privacy Policy กำหนดการใช้หรือการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล 3. Security Measurement วางมาตรการด้านความมั่นคงปลอดภัยสำหรับปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล 4. Data Transfer วางระบบการบริหารจัดการ การส่ง หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล 5. DPO แต่งตั้งผู้กำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคล PDPA in Action เมื่อนำกฎหมาย PDPA มาแปลงให้อยู่ในระบบสารสนเทศ จะประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ Data Subject Request, Front-end (DPO) และ Back-end System เอกสารที่เกี่ยวข้องกับ PDPAเอกสารโครงการเตรียมความพร้อมรองรับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565 วิดีโอโครงการฝึกอบรม “ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562” วันศุกร์ ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2566เอกสารอ้างอิงของมหาวิทยาลัยแม่โจ้คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและวางแนวนโยบายในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562ประกาศมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เรื่องนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลCookies-Policy - MJUข้อตกลงการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล - MJUคำประกาศเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว-Privacy-Notice-MJUนโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล-Privacy-Policy - MJUแนวปฎิบัติสำหรับการดำเนินการของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล - MJUบันทึกรายการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของ-MJUเอกสารแสดงความยินยอม-Consent-Form - MJU
22 พฤษภาคม 2566     |      2478
วิธีการลบ Account MS Teams จากเครื่องคอมพิวเตอร์
วิธีการลบ Account MS Teams จากเครื่องคอมพิวเตอร์วิธีที่ 1สามารถ Download โปรแกรม Remove Teams  ไปวางไว้ที่ Drive C: แตกไฟล์ zip แล้วคลิ๊กขวา เลือก "Run as Administrator" โปรแกรมจะทำการลบข้อมูล เมื่อเสร็จสิ้น ให้ทำการ Restart เครื่อง แล้วทดสอบใช้งานวิธีที่ 2จากปัญหาการ Login ใช้งาน MS Teams เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนกลางหรือคอมพิวเตอร์ในห้องเรียน ผู้ใช้งานจะพบปัญหาการลืม SignOut หรือ Account ของผู้ใช้งานไปอยู่ติดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน มีวิธีลบ Account ของผู้ใช้งานออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ดังนี้1.ไปที่ All Settings2. ไปที่ Accounts3. ไปที่เมนู Access work or school  จะปรากฎ Account Email ของผู้ใช้งาน ไปทำการ Disconnect4.ระบบจะถามยืนยันการนำ Account ผู้ใช้งานออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เลือก Yes5. ผู้ใช้งาน ทำการ Sign out MS Teams ออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ปกติ เป็นอันเสร็จสิ้น
10 มกราคม 2567     |      8679
ย้ายข้อมูลจาก Google Drive สู่ OneDrive ง่ายๆด้วย mover
ตามที่บริการ Google Workspace for Education ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ( Free Cloud Storage) จากเดิมไม่จำกัดพื้นที่การใช้งาน เปลี่ยนเป็นจำกัดพื้นที่ใช้งานทุกสถานศึกษา โดยภายในเดือนกรกฎาคม 2565 จะลดพื้นที่เก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์รวมทั้งองค์กร (Pool storage) ให้เหลือเพียง 100 TB ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้โปรแกรม Google Drive, Gmail, Google Photos ภายใต้บัญชี @gmaejo.mju.ac.th เพื่อป้องกันผลกระทบจากการใช้งาน มหาวิทยาลัยมีแนวทางดังนี้จำกัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของนักศึกษาให้เหลือบัญชีละ 30 GBจำกัดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลของอาจารย์และบุคลากรให้เหลือบัญชีละ 70 GBแจ้งเตือนผู้ใช้ที่ใช้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลมากผิดปกติ ให้ปรับลดพื้นที่ ถ่ายโอนข้อมูลที่ ไม่จำเป็นออกภายวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 หากเกินกำหนด บัญชีดังกล่าวจะถูกหยุดการใช้งานพื้นที่ Google Drive ชั่วคราว (Disable)เพื่อเป็นการลดผลกระทบในการใช้งานของท่าน จึงแจ้งขอให้ท่านดำเนินการสำรองข้อมูลไปไว้ยังแหล่งจัดเก็บอื่น หรือ ใช้โปรแกรม **Microsoft One Drive ของมหาวิทยาลัยทดแทน (@mju.ac.th) ซึ่งให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูล 5 TBการคัดลอกหรือย้ายข้อมูลจาก googledrive ไปยัง one drive 2 มีวิธีคัดลอกหรือย้ายด้วยการใช้เว็ปไซต์ mover.io ข้อดีคือ สะดวกและรวดเร็วไม่จำเป็นต้องมีพื้นท่ีภายใน Hardware ของเรา ข้อจำกัดคือ ไฟล์ประเภทGoogle Drawing, Google Photo ,Google Forms, Google Site และ Google Maps ,Jamboard จะไม่คัดลอกมาด้วย ซึ่งสามารถคัดลอกด้วยตนเองภายหลังคัดลอกหรือย้ายด้วยการดาวน์โหลดไฟล์และส่งผ่านไปยัง onedrive folder ข้อดีคือ สามารถย้ายและกักเก็บข้อมูล ได้ทุกรูปแบบ ข้อควรระวัง คือ ควรเตรียมพื้นที่ที่ใช้รองรับการดาวน์โหลดไฟล์ ภายใน Hardware ให้พร้อมข้อจำกัดสำหรับการโอนไฟล์ผ่าน Mover.ioไม่สามารถถ่ายโอนไฟล์ Google Drawings, Forms, Sites, และ Map ได้ไฟล์ที่แชร์และถูกปิดไม่ให้ดาวน์โหลด พิมพ์ หรือคัดลอกได้ไฟล์ที่เป็นทางลัดไฟล์ที่มีขนาดใหญ่กว่า 15GBไฟล์ที่มีขนาด 0 byteเครื่องหมายพิเศษในชื่อไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่มีจะถูกลบชื่อไฟล์ไม่เกิน 256 ตัวอักษร ชื่อโฟลเดอร์ไม่เกิน 250 ตัวอักษร และรวมทั้งพาร์ตไม่เกิน 400 ตัวอักษรนอกจาก Google Drive แล้ว ยังมีบริการอื่น ๆ ที่สามารถย้ายไปยัง OneDrive ได้ง่าย ๆ ด้วยบริการนี้ด้วย เช่น Box, Dropbox, Dropbox Business หรือ Egnyte
1 มิถุนายน 2565     |      1539
วิธีติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 บนคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีชิป TPM 2.0 หรือฮาร์ดแวร์ไม่รองรับ
วิธีติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 บนคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีชิป TPM 2.0 หรือฮาร์ดแวร์ไม่รองรับ.การติดตั้ง Windows 11 กรณีที่ตรวจสอบสเปกแล้วไม่ผ่าน ฮาร์ดแวร์ไม่รองรับ ทำให้ติดตั้งไม่ได้ มีแนวทางแก้ไขดังนี้**มีคำเตือนด้วยเช่นกันว่า การฝืนติดตั้งอาจทำให้ระบบไม่มีความเสถียร และอาจได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคิดว่าสเปกคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่น่าจะไหว อยากใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 11 จริง ๆ ก็ทำได้ อย่างมากหากใช้ไม่ไหวจริง ๆ ก็แค่ถอนการติดตั้งเปลี่ยนกลับไปใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เหมือนเดิมก็ได้**เพิ่มค่า Key ตัวใหม่ในขั้นตอนการติดตั้ง (Setup)สำหรับวิธีการนี้ จะเป็นการเพิ่มค่า Key ตัวใหม่เข้าไป เพื่อบังคับข้ามการตรวจสอบ (Bypass) คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ในขั้นตอนติดตั้ง โดยจะทำได้เมื่อเราใช้วิธี ซึ่งก็จะมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้หลังที่เราทำ USB เป็น Installation Media แล้วบูตคอมพิวเตอร์ใหม่ผ่านไดร์ฟ USB เพื่อเริ่มติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 ไปตามปกติแน่นอนว่าเมื่อฮาร์ดแวร์เราไม่รองรับ เราก็จะพบกับหน้าต่างแจ้งเตือนว่า "This PC can’t Run Windows 11" ก็กด "ปุ่ม Back" เพื่อย้อนกลับไปที่หน้า Installer ภาพจาก : https://min.news/en/tech/5ac6205ed0071f883a9e0c4fa99d4bd1.htmlกด "ปุ่ม Shift + F10" เพื่อเปิดหน้าต่าง Command Prompt ขึ้นมา พิมพ์ลงไปว่า "regedit" แล้วกด "ปุ่ม Enter"โปรแกรม Registry Editor จะถูกเปิดขึ้นมาให้เราไปยังตำแหน่ง "HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\Setup"คลิกขวาที่ "โฟลเดอร์ Setup" ในพาเนลด้านซ้ายมือ เลือก "เมนู New" ตามด้วย "Key"ตั้งชื่อ Key ใหม่นี้ว่า "LabConfig"คลิกขวาที่โฟลเดอร์ LabConfig ในพาเนลด้านซ้ายมือ เลือก "เมนู New" ตามด้วย "DWORD (32-bit) Value"ตั้งชื่อไฟล์ว่า "BypassTPMCheck" ทำตามขั้นตอนใน "ข้อ 8." ซ้ำอีกครั้ง เพื่อสร้างไฟล์ "BypassRAMCheck" และ "BypassSecureBootCheck" เราจะได้มาทั้งหมด 3 ไฟล์ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ เพื่อเปลี่ยนค่าในช่องใส่ค่า (Value Data) จาก "0" ให้เป็น "1" ทำให้ครบทั้ง 3 ไฟล์ปิดหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor แล้วเริ่มติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 ต่ออีกครั้งได้ทันทีcredit : thaiware.com
30 พฤษภาคม 2565     |      2198
ทั้งหมด 11 หน้า