งานระบบเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ต
Networking Systems and Internet Services

วิธีติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 บนคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีชิป TPM 2.0 หรือฮาร์ดแวร์ไม่รองรับ.

การติดตั้ง Windows 11 กรณีที่ตรวจสอบสเปกแล้วไม่ผ่าน ฮาร์ดแวร์ไม่รองรับ ทำให้ติดตั้งไม่ได้ มีแนวทางแก้ไขดังนี้

**มีคำเตือนด้วยเช่นกันว่า การฝืนติดตั้งอาจทำให้ระบบไม่มีความเสถียร และอาจได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคิดว่าสเปกคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่น่าจะไหว อยากใช้งานระบบปฏิบัติการ Windows 11 จริง ๆ ก็ทำได้ อย่างมากหากใช้ไม่ไหวจริง ๆ ก็แค่ถอนการติดตั้งเปลี่ยนกลับไปใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 เหมือนเดิมก็ได้**

เพิ่มค่า Key ตัวใหม่ในขั้นตอนการติดตั้ง (Setup)

สำหรับวิธีการนี้ จะเป็นการเพิ่มค่า Key ตัวใหม่เข้าไป เพื่อบังคับข้ามการตรวจสอบ (Bypass) คุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ในขั้นตอนติดตั้ง โดยจะทำได้เมื่อเราใช้วิธี ซึ่งก็จะมีขั้นตอนการทำดังต่อไปนี้

  1. หลังที่เราทำ USB เป็น Installation Media แล้วบูตคอมพิวเตอร์ใหม่ผ่านไดร์ฟ USB เพื่อเริ่มติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 ไปตามปกติ
  2. แน่นอนว่าเมื่อฮาร์ดแวร์เราไม่รองรับ เราก็จะพบกับหน้าต่างแจ้งเตือนว่า "This PC can’t Run Windows 11" ก็กด "ปุ่ม Back" เพื่อย้อนกลับไปที่หน้า Installer

เพิ่มค่า Key ตัวใหม่ในขั้นตอนการติดตั้ง (Setup)
ภาพจาก : https://min.news/en/tech/5ac6205ed0071f883a9e0c4fa99d4bd1.html

  1. กด "ปุ่ม Shift + F10" เพื่อเปิดหน้าต่าง Command Prompt ขึ้นมา พิมพ์ลงไปว่า "regedit" แล้วกด "ปุ่ม Enter"
  2. โปรแกรม Registry Editor จะถูกเปิดขึ้นมา
  3. ให้เราไปยังตำแหน่ง "HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\Setup"
  4. คลิกขวาที่ "โฟลเดอร์ Setup" ในพาเนลด้านซ้ายมือ เลือก "เมนู New" ตามด้วย "Key"
  5. ตั้งชื่อ Key ใหม่นี้ว่า "LabConfig"
  6. คลิกขวาที่โฟลเดอร์ LabConfig ในพาเนลด้านซ้ายมือ เลือก "เมนู New" ตามด้วย "DWORD (32-bit) Value"
  7. ตั้งชื่อไฟล์ว่า "BypassTPMCheck" ทำตามขั้นตอนใน "ข้อ 8." ซ้ำอีกครั้ง เพื่อสร้างไฟล์ "BypassRAMCheck" และ "BypassSecureBootCheck" เราจะได้มาทั้งหมด 3 ไฟล์
  8. ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ เพื่อเปลี่ยนค่าในช่องใส่ค่า (Value Data) จาก "0" ให้เป็น "1" ทำให้ครบทั้ง 3 ไฟล์

เพิ่มค่า Key ตัวใหม่ในขั้นตอนการติดตั้ง (Setup)

  1. ปิดหน้าต่างโปรแกรม Registry Editor แล้วเริ่มติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 ต่ออีกครั้งได้ทันที

credit : thaiware.com

ปรับปรุงข้อมูล : 30/5/2565 15:11:12     ที่มา : งานระบบเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ต     จำนวนผู้เปิดอ่าน : 1818

กลุ่มข่าวสาร :

ข่าวล่าสุด

วิธีการเปลี่ยนการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator
วิธีการเปลี่ยนการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticatorเครื่องมือที่ใช้ในการยืนยันตัวตน Multi-Factor Authentication (MFA) เป็นวิธีการในการยืนยันตัวตน โดยใช้การยืนยันตัวตนหลายอย่าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ ทำให้สะดวกในการใช้งานและมีความปลอดภัยมากขึ้น1. เข้า Email มหาวิทยาลัยแม่โจ้ https://www.office.comทำการลงชื่อผู้ใช้งานให้เรียบร้อย แล้วกดที่ Profile มุมขวาบน แล้วเลือก View account2. เลือก Security info3. ทำการลบ Sign-in method ที่ไม่จำเป็นออก เมื่อลบแล้วให้กด Add sign-in method4. เลือก Authenticator app กด Add5. ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือ แล้วกด Next  ** ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้ ตามระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานทั้ง Android และ iOS6. เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือแล้ว กด Next7. เปิดโปรแกรม Microsoft Authenticator app ในโทรศัพท์มือถือ กดเพิ่มเครื่องหมาย +8. เลือก Work or school account แล้วเลือก Scan QR Code9. ทำการ Scan QR code ที่ปรากฎในหน้าจอ**หากไม่สามารถ Scan QR code ได้เนื่องจาก QR code หมดอายุ ให้คลิ๊ก Back แล้วกด Next เพื่อให้ QR Code แสดงใหม่แล้วทำการ Scan ใหม่อีกครั้ง10. เมื่อ Scan QR code บนโทรศัพท์มือถือสำเร็จ จะปรากฎชื่อบัญชีที่ตั้งค่าใน Microsoft Authenticator app และจะปรากฎชุดตัวเลข บนหน้าจอ11. ทำการกรอกตัวเลขไปยัง Microsoft Authenticator app บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วกด Yes12. กด Next13. Microsoft Authenticator app ทำการยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว กด Done14. การยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator สำเร็จแล้ว สามารถเลือกวิธีการยืนยันตัวตนได้ โดยกด Change15. ค่าเริ่มต้นการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator คือ App based authentication - notification
17 กุมภาพันธ์ 2567     |      1019
การเปิดใช้งาน MFA Microsoft Authenticator
การเปิดใช้งาน MFA Microsoft Authenticatorเข้าใช้งานเว็บไซต์ https://www.office.com ทำการลงชื่อผู้ใช้งาน Sign in2. Login โดยใช้ username @mju.ac.th แล้วกด Next3. ใส่รหัสผ่าน Email แล้วกด Sign in4. กด Next เพื่อเข้าใช้งาน5. ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือ แล้วกด Next  ** ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้ ตามระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานทั้ง Android และ iOS6. เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือแล้ว กด Next7. เปิดโปรแกรม Microsoft Authenticator app ในโทรศัพท์มือถือ กดเพิ่มเครื่องหมาย +8. เลือก Work or school account แล้วเลือก Scan QR Code9. ทำการ Scan QR code ที่ปรากฎในหน้าจอ**หากไม่สามารถ Scan QR code ได้เนื่องจาก QR code หมดอายุ ให้คลิ๊ก Back แล้วกด Next เพื่อให้ QR Code แสดงใหม่แล้วทำการ Scan ใหม่อีกครั้ง10. เมื่อ Scan QR code บนโทรศัพท์มือถือสำเร็จ จะปรากฎชื่อบัญชีที่ตั้งค่าใน Microsoft Authenticator app และจะปรากฎชุดตัวเลข บนหน้าจอ11. ทำการกรอกตัวเลขไปยัง Microsoft Authenticator app บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วกด Yes12. กด Next13. Microsoft Authenticator app ทำการยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว กด Done14. เข้าใช้งาน MS365 ผ่านเว็บ Browser ได้
15 กุมภาพันธ์ 2567     |      2466
การถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud
การถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud ด้วย Creative Cloud Cleaner tool How and when to use the Creative Cloud Cleaner tool?ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ Windows ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ macOS ขั้นตอนการถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud (ระบบปฏิบัติการ Windows)1. ทำการ ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ Windows2. แตกไฟล์ zip คลิ๊กขวาเลือก Run as administrator3. เลือก e แล้วกด Enter4. พิมพ์ y กด Enter5. เลือกโปรแกรมที่ต้องการจะลบ เลือกลบทั้งหมด (All) พิมพ์ 1 แล้วกด Enter6.ดูหมายเลข ของ Clean All. ใส่หมายเลขแล้วกด Enter 7.พิมพ์ y กด Enter เพื่อยืนยันการลบโปรแกรม เมื่อเสร็จแล้วกด Enter ออกจากโปรแกรม แล้ว Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการลบโปรแกรม Adobe Creative Cloud  ขั้นตอนการถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud (ระบบปฏิบัติการ macOS)ทำการดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ macOSแตกไฟล์ zip แล้ว Double Click เพื่อติดตั้งโปรแกรม กด Open3. เลือกโปรแกรมที่ต้องการจะลบ เลือกลบทั้งหมด (All) กด Clean All4. เมื่อทำการถอนการติตตั้งเสร็จ ปิดโปรแกรม แล้ว Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการลบโปรแกรม Adobe Creative Cloud 
13 พฤศจิกายน 2566     |      3799