งานระบบเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ต
Networking Systems and Internet Services

ข้อแนะนำในการใช้งาน Social Media สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป

 การใช้งานรหัสผ่านอย่างมั่นคงปลอดภัย

  • การตั้งค่ารหัสผ่านที่ใช้ในการล็อกอินเข้าสู่เว็บไซต์หรือระบบต่างๆ จะต้องเป็นรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก เพื่อลดความเสี่ยงกรณีที่ผู้ประสงค์ร้ายที่พยายามจะสุ่มรหัสผ่านเพื่อใช้ล็อกอินบัญชีผู้ใช้งานของผู้อื่น การตั้งค่ารหัสผ่านที่มั่นคงปลอดภัย มีข้อแนะนำดังนี้
  1. รหัสผ่านควรมีความยาวไม่ต่ำกว่า 8 ตัวอักษร เช่น Ro23w%9T
  2. รหัสผ่านควรประกอบไปด้วยตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ ตัวเลข และอักขระพิเศษ
  • การตั้งคำถามที่ใช้ในกรณีกู้คืนบัญชีผู้ใช้งาน (Forget password) ควรเลือกใช้ข้อมูลหรือคำถามที่เป็นส่วนบุคคลและควรเป็นข้อมูลที่ผู้อื่นคาดเดายาก เพื่อป้องกันการสุ่มคำถามคำตอบจากผู้ประสงค์ร้าย
  • ไม่ควรบันทึกรหัสผ่านไว้ในที่ซึ่งง่ายต่อการสังเกตเห็นของบุคคลอื่น เช่น จดรหัสผ่านวางไว้บนโต๊ะ หรือเขียนโน๊ตติดไว้บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
  • ไม่ควรเปิดเผยรหัสผ่านให้แก่บุคคลอื่นล่วงรู้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการถูกขโมยหัสผ่านจากบุคคลที่สาม
  • ไม่ควรกำหนดค่าให้เว็บ Browser ช่วยจำรหัสผ่านที่ใช้ในการเข้าถึงเว็บไซต์ (Remember password) เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกขโมยบัญชีผู้ใช้งานหรือแกะรอยรหัสผ่านจากเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ

การใช้บริการสื่อและเครือข่ายสังคมทางเว็บอย่างมั่นคงปลอดภัย

  • การได้รับอีเมล์แจ้งเตือนจากเว็บไซต์ต่างๆ ในลักษณะเชื้อเชิญให้คลิกลิงค์ที่แนบมาในอีเมล์ ผู้ใช้งานควรสงสัยว่าลิงค์ดังกล่าวเป็นลิงค์ที่ไม่ปลอดภัย (ลิงค์ที่มีความประสงค์จะหลอกลวงเพื่อขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รหัสผ่าน โดยวิธีการต่างๆ) และสามารถแจ้งลิงค์ต้องสงสัยมายัง  report@thaicert.or.th  เพื่อตรวจสอบต่อไป
  • ปัจจุบัน เว็บไซต์ที่ให้บริการสื่อและเครือข่ายสังคม ได้เปิดช่องทางเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อเว็บไซต์ผ่านช่องทางที่มีการเข้ารหัสลับข้อมูล เพื่อป้องกันการดักจับข้อมูลระหว่างทางจากผู้ประสงค์ร้าย โดยกระบวนการดังกล่าวเป็นการเชื่อมต่อเว็บไซต์ผ่านรูปแบบที่เรียกกันว่า HTTPS ซึ่งผู้ใช้งานทั่วไปสามารถใช้ช่องทางดังกล่าวได้ทันที โดยเรียนใช้ผ่านการพิมพ์ https:// ตามด้วยชื่อเว็บไซต์ เช่น https://www.facebook.com
  • ใช้กระบวนการยืนยันตัวตน (Authentication) แบบ Two-factor Authentication ซึ่งเป็นวิธีการที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงกว่าการเข้าสู่เว็บไซต์โดยการล็อกอินโดยใช้ใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว ซึ่งกระบวนการยืนยันตัวตนดังกล่าวจะใช้การยืนยันตัวตนด้วยรหัสผ่านร่วมกับวิธีการอื่นๆ เช่น การยืนยันรหัสผ่านชั่วคราวที่ได้จาก SMS หลังจากล็อกอินครั้งแรกแล้ว เป็นต้น โดยปัจจุบันเว็บไซต์ที่ให้บริการสื่อและเครือข่ายสังคมที่รองรับกระบวนการดังกล่าว ได้แก่ facebook
  • เนื่องจากเว็บไซต์บริการสื่อและเครือข่ายสังคมออนไลน์ส่วนใหญ่ มีการจัดเตรียมช่องทางในการกู้คืนบัญชีผู้ใช้งานหรือกู้คืนรหัสผ่าน (Forget password) โดยส่วนใหญ่จะใช้ช่องทางสื่อสารผ่านอีเมลของผู้ใช้งาน ซึ่งก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งให้ผู้ประสงค์ร้ายเข้าโจมตีผ่านช่องทางอีเมล จากนั้นจึงใช้ช่องทางดังกล่าวเข้าควบคุมบัญชีเครือข่ายสังคมต่างๆ ต่อไป
  • ไม่เผยแพร่ข้อมูลสำคัญ ไม่ว่าส่วนบุคคลของของตนเอง ผู้อื่น และขององค์กร ในเว็บไซต์บริการสื่อและ เครือข่ายสังคมออนไลน์
  • พึงระลึกไว้เสมอว่าข้อมูลต่างๆ ที่เผยแพร่ไว้บนบริการสื่อและเครือข่ายสังคมนั้นคงอยู่ถาวร และผู้อื่นอาจเข้าถึงและเผยแพร่ของข้อมูลนี้ได้
  • ไม่ควรใช้บริการสื่อและเครือข่ายสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่ข้อความหรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสมต่างๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิของผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม

การใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างมั่นคงปลอดภัย

  • ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และอัพเดทฐานข้อมูลไวรัสของโปรแกรมอยู่เสมอ
  • อัพเดทระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์เว็บ Browser อยู่เสมอ
  • ไม่ควรติดตั้งโปรแกรมเสริมจากผู้พัฒนาอื่น (3rd Party Application) นอกเหนือจากโปรแกรมที่พัฒนาโดยเจ้าของบริการสื่อและเครือข่ายสังคม เนื่องจากผู้ใช้งานมีความเสี่ยงจากการถูกลักลอบ ปลอมแปลง หรือขโมยข้อมูลสำคัญของผู้ใช้งานได้
  • ควรละเว้นการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการในที่สาธารณะ หรือจากผู้ให้บริการที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น เครือข่ายไร้สาย (WiFi) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถระบุผู้ให้บริการได้ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีลักลอบขโมยข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่านของผู้ใช้งาน เป็นต้น

ขอขอบคุณ ThaiCERT 

ที่มา http://www.thaicert.or.th

ปรับปรุงข้อมูล : 1/1/2557 0:00:00     ที่มา : งานระบบเครือข่ายและบริการอินเทอร์เน็ต     จำนวนผู้เปิดอ่าน : 7617

กลุ่มข่าวสาร : ข่าวกิจกรรม

ข่าวล่าสุด

Dugga - Digital Assessment Platform
Dugga - Digital Assessment Platform (https://www.dugga.com ผู้ช่วยคนสำคัญที่จะทำให้การสอบบนโลกออนไลน์ เป็นเรื่องที่ง่ายชูฟีเจอร์เด่น- ประเภทคำถามที่หลากหลายกว่า 15 ประเภท- ระบบความปลอดภัยขั้นสูงล็อกเครื่องกั้นโกง- ใช้งานร่วมกับ Microsoft Teams ได้อย่างไร้รอยต่อ- รองรับการเข้าสอบพร้อมกันได้ระดับหลักแสนคน- AI คุมสอบ ตรวจจับละเอียด พร้อมประเมินความเสี่ยงการทุจริตได้อย่างแม่นยำข่าวประชาสัมพันธ์• VDO อบรมการใช้งาน Dugga (วันที่ 4 กรกฎาคม 2567)คู่มือการใช้งานระบบ Dugga สำหรับอาจารย์คู่มือการใช้งานระบบ Dugga สำหรับนักศึกษาเกี่ยวกับ DUGGA          Dugga Digital Assessment หรือ Dugga (อ่านว่า ดุกก้า) เป็นแพลตฟอร์มการประเมินแบบดิจิทัลที่สามารถใช้ภายในโรงเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย และองค์กรต่าง ๆ โดยแพลตฟอร์ม Dugga รองรับการใช้งานร่วมกับระบบปฏิบัติการทั่วไป เช่น Windows, Mac OS X, iPad OS และ Chrome OSการใช้งานสำหรับอาจารย์          1.เข้าที่ URL  https://auth.dugga.com/login จากนั้นเลือก Log in with Microsoft สามารถใช้งานผ่าน eMail มหาวิทยาลัยแม่โจ้
11 กรกฎาคม 2567     |      1953
วิธีการเปลี่ยนการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator
วิธีการเปลี่ยนการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticatorเครื่องมือที่ใช้ในการยืนยันตัวตน Multi-Factor Authentication (MFA) เป็นวิธีการในการยืนยันตัวตน โดยใช้การยืนยันตัวตนหลายอย่าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องผูกกับหมายเลขโทรศัพท์ ทำให้สะดวกในการใช้งานและมีความปลอดภัยมากขึ้น1. เข้า Email มหาวิทยาลัยแม่โจ้ https://www.office.comทำการลงชื่อผู้ใช้งานให้เรียบร้อย แล้วกดที่ Profile มุมขวาบน แล้วเลือก View account2. เลือก Security info3. ทำการลบ Sign-in method ที่ไม่จำเป็นออก เมื่อลบแล้วให้กด Add sign-in method4. เลือก Authenticator app กด Add5. ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือ แล้วกด Next  ** ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้ ตามระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานทั้ง Android และ iOS6. เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือแล้ว กด Next7. เปิดโปรแกรม Microsoft Authenticator app ในโทรศัพท์มือถือ กดเพิ่มเครื่องหมาย +8. เลือก Work or school account แล้วเลือก Scan QR Code9. ทำการ Scan QR code ที่ปรากฎในหน้าจอ**หากไม่สามารถ Scan QR code ได้เนื่องจาก QR code หมดอายุ ให้คลิ๊ก Back แล้วกด Next เพื่อให้ QR Code แสดงใหม่แล้วทำการ Scan ใหม่อีกครั้ง10. เมื่อ Scan QR code บนโทรศัพท์มือถือสำเร็จ จะปรากฎชื่อบัญชีที่ตั้งค่าใน Microsoft Authenticator app และจะปรากฎชุดตัวเลข บนหน้าจอ11. ทำการกรอกตัวเลขไปยัง Microsoft Authenticator app บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วกด Yes12. กด Next13. Microsoft Authenticator app ทำการยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว กด Done14. การยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator สำเร็จแล้ว สามารถเลือกวิธีการยืนยันตัวตนได้ โดยกด Change15. ค่าเริ่มต้นการยืนยันตัวตนโดยใช้ MFA Microsoft Authenticator คือ App based authentication - notification
17 กุมภาพันธ์ 2567     |      8259
การเปิดใช้งาน MFA Microsoft Authenticator
การเปิดใช้งาน MFA Microsoft Authenticatorเข้าใช้งานเว็บไซต์ https://www.office.com ทำการลงชื่อผู้ใช้งาน Sign in2. Login โดยใช้ username @mju.ac.th แล้วกด Next3. ใส่รหัสผ่าน Email แล้วกด Sign in4. กด Next เพื่อเข้าใช้งาน5. ระบบจะแนะนำให้ผู้ใช้งานทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือ แล้วกด Next  ** ผู้ใช้งานสามารถเลือกติดตั้งได้ ตามระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานทั้ง Android และ iOS6. เมื่อทำการติดตั้งโปรแกรม Microsoft Authenticator app ผ่านระบบมือถือแล้ว กด Next7. เปิดโปรแกรม Microsoft Authenticator app ในโทรศัพท์มือถือ กดเพิ่มเครื่องหมาย +8. เลือก Work or school account แล้วเลือก Scan QR Code9. ทำการ Scan QR code ที่ปรากฎในหน้าจอ**หากไม่สามารถ Scan QR code ได้เนื่องจาก QR code หมดอายุ ให้คลิ๊ก Back แล้วกด Next เพื่อให้ QR Code แสดงใหม่แล้วทำการ Scan ใหม่อีกครั้ง10. เมื่อ Scan QR code บนโทรศัพท์มือถือสำเร็จ จะปรากฎชื่อบัญชีที่ตั้งค่าใน Microsoft Authenticator app และจะปรากฎชุดตัวเลข บนหน้าจอ11. ทำการกรอกตัวเลขไปยัง Microsoft Authenticator app บนโทรศัพท์มือถือ เพื่อยืนยันตัวตน แล้วกด Yes12. กด Next13. Microsoft Authenticator app ทำการยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว กด Done14. เข้าใช้งาน MS365 ผ่านเว็บ Browser ได้
15 กุมภาพันธ์ 2567     |      11749
การถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud
การถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud ด้วย Creative Cloud Cleaner tool How and when to use the Creative Cloud Cleaner tool?ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ Windows ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ macOS ขั้นตอนการถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud (ระบบปฏิบัติการ Windows)1. ทำการ ดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ Windows2. แตกไฟล์ zip คลิ๊กขวาเลือก Run as administrator3. เลือก e แล้วกด Enter4. พิมพ์ y กด Enter5. เลือกโปรแกรมที่ต้องการจะลบ เลือกลบทั้งหมด (All) พิมพ์ 1 แล้วกด Enter6.ดูหมายเลข ของ Clean All. ใส่หมายเลขแล้วกด Enter 7.พิมพ์ y กด Enter เพื่อยืนยันการลบโปรแกรม เมื่อเสร็จแล้วกด Enter ออกจากโปรแกรม แล้ว Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการลบโปรแกรม Adobe Creative Cloud  ขั้นตอนการถอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Creative Cloud (ระบบปฏิบัติการ macOS)ทำการดาวน์โหลด Creative Cloud Cleaner tool สำหรับ macOSแตกไฟล์ zip แล้ว Double Click เพื่อติดตั้งโปรแกรม กด Open3. เลือกโปรแกรมที่ต้องการจะลบ เลือกลบทั้งหมด (All) กด Clean All4. เมื่อทำการถอนการติตตั้งเสร็จ ปิดโปรแกรม แล้ว Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนการลบโปรแกรม Adobe Creative Cloud 
13 พฤศจิกายน 2566     |      8866