ธรรมดาสัตว์ที่ไปเกิดในนรกก็มีแต่ไฟ มีแต่ทุกข์ มันไม่สามารถที่จะพิจารณาให้เห็นทุกข์ได้ ทั้งๆ ที่อยู่ในกองทุกข์ มันก็ร้องแต่ว่าทุกข์ แต่ว่ามันก็ไม่มีสติปัญญาที่จะไปดับทุกข์ได้ เพราะว่ามันเต็มปรี่ไปด้วยทุกข์ทั้งนั้น ส่วนเหล่าเทวาที่ได้ไปเกิดในชั้นเทพ ก็มีแต่ความสนุกสนาน มีกามคุณเป็นที่เป็นทิพย์ ก็พากันมัวเมาเพลิดเพลินไป เลยไม่มีโอกาสที่จะเกิดความเข้าใจไปรู้เรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ นอกเสียจากเทวดาพวกที่เป็นพระอริยบุคคลเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ดูพวกเทวดาในเมืองมนุษย์เป็นตัววอย่างบ้างก็ได้ หนุ่มสาวที่กำลังอยู่ในวัยสวยวัยงาม ปราดเปรียวเพรียวลม ถ้าจะไปบอกว่า ความสวย ความงามของเขานั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์และก็ไม่ใช่ตัวตน พวกเขาก็คงไม่ยอมรุ้ประสีประสาด้วยเหมือนกัน มนุษย์ธรรมดานี่ยังหลงใหลอยู่ในความสวยงาม ก็ล้วนเห่อเหิมเพิ่มเชื้อ เชื่อมั่นอยู่กับตัวตนกันอยุ่ทั้งนั้น นี่ก็หลงกันอยู่เท่าไหร่แล้ว ความหลงเช่นนี้มันเป็นธรรมดากันไปหมดสิ้นแล้ว มีแต่จะหลงตามๆ กันหนักเข้า แถมยังว่าโลกเจริญ มันก็เจริญไปด้วยความหลง ไม่ใช่เจริญด้วยความรุ้ชัด ที่จะมองเห็นความเสื่อมสิ้น ไม่ค่อยมีใครจะรู้ได้ จะพากันมองไปทางวัตถุด้วยกันทั้งนั้น หรือไม่ก็เป็นทางกามคุณทั้งหมด หลงใหล ใฝ่ฝัน มัวเมากันไปแต่ภายนอกตัวของตัวก็ไม่เคยจะเหลียวมามอง ไม่มีกำลังพอจะเข้าใจว่ารูปไม่เที่ยงเป็นอย่างไร เวทนาไม่เที่ยงอย่างไร แยกแยะไม่ได้ อ่อนนิ่มกันไปหมด เพราะว่ามีแต่แรหลงมัวเมา เพลิดเพลินไปตามอารมณ์อยุ่ท่ามกลางความหลง เกินกว่าจะเชื่อความจริง อยู่ด้วยความหลง ดำรงชีวิตด้วยความหลง ตายไปกับความหลง แม้จะเกิดใหม่อีก็ยังคงมีความหลงอยู่เหมือเดิม คงจะต้องวนเวียนซ้ำๆ ซากๆ อยู่ในวัฎสงสาร นานจนกว่าจะยอมรู้ความจริงและช่วยตนได้ ซึ่งไม่รุ้ว่าจะยายนานอีกเพียงใด ดูเพียงเผินๆ แล้ว เทวดาน่าจะสุข แต่พระพุทธองค์ท่านกล่าวว่า “สุขนั้นไม่ยั่งยืนจะเวียนไปสู่ความทุกข์” ดังนั้นถ้าจะบอกว่า เทวดานั้นก็คือ สัตว์นรกที่ถูกปลดปล่อยมาชั่วขณะ ก็คงไม่ผิด และถ้าตามดูให้ดีก็จะเห็นว่า เทวดาในเมืองมนุษย์นี้ ไม่ช้าเกินรอ ก็จะพากันกลับตกลงไปในนรกโลกันต์ให้เห็นนั้นมีอยู่มากมายไม่น้อยเลย การปฏิบัติที่เป็นไปให้รู้จักทุกข์ในอริยสัจจ์ เพื่อความบริสุทธิ์เท่านั้นที่พอจะช่วยได้!